คิดเป็น เห็นธรรม

คิดเป็น เห็นธรรม คิดเป็น เห็นธรรม

"รู้ดี" ก็วาง "รู้ชั่ว" ก็วาง อย่าไปแบกไปหามมันไว้

  • 2024,Mar 29
  • 2527

พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักวิปัสสนา ให้รู้จักการนำเอาเรื่องทั้งหลายที่เกิดมาพบมาเจอมาพิจารณา เราอยู่แค่ประเทศไทยจะพอหรือ จะพิจารณาได้หมดหรือ…ไม่ เอาที่เราพบเราเจอมาพิจารณา ไม่ได้พบได้เจอก็วางไว้ เอาเฉพาะที่พบที่เจอก็เพียงพอต่อการพิจารณาแล้ว ถ้าจะให้เราเดินทางรอบโลก แล้วไปศึกษาไปรู้ทุกเหตุการณ์ในทุกประเทศ ร้อยปีไม่พอ

...

ใครพบเจอกับสิ่งใดให้พิจารณากับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นตามเป็นจริง ว่าสิ่งที่เราพบเป็นอธรรมหรือว่าเป็นธรรมะ อธรรมแปลว่าบาป แปลว่าชั่ว แปลว่าไม่ดี มีอยู่สองอย่างเท่านั้นที่เราพบเราเจอ สิ่งที่ดีกับสิ่งที่ไม่ดี กุศลกับอกุศล เรียกชื่อต่างๆ กันไป บุญกับบาปนั่นก็คือดีและชั่ว มีแค่นี้

...

สิ่งที่เราพบ อ๋อ…อะไรดีเอามาพิจารณา พิจารณาทุกเรื่องแล้วจะไปตัดสินที่ไหนว่าเรื่องนี้ดีหรือชั่ว เอออย่างนี้ต่างหากนะ เพราะเราไม่สามารถที่จะเลือกเรื่องที่เราจะไปพบไม่ได้ เรายังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดเหตุการณ์ดีชั่วอย่างไรกับเราบ้าง แต่พอเจอกับเหตุการณ์ปุ๊ป พิจารณาแล้วตัดสินว่าตอนนี้กำลังเจอชั่วหรือเจอดี เออ..เจอสิ่งที่ดี เออ…เจอสิ่งที่ชั่ว เจอเสร็จเป็นอย่างไร…วาง ดีก็วางชั่วก็วาง ฝึกอย่างนี้

...

รู้แล้ว…ละ รู้แล้ว "แล้ว" แปลว่า เสร็จ แปลว่า รู้ละเอียด รู้แล้วละ รู้ว่าชั่วก็ละ รู้ว่าดีเสร็จแล้วก็ละ อย่าไปแบกไปหามมันไว้ สิ่งที่เราเจอเหล่านั้นไม่เที่ยง ไม่ใช่ของแท้ของจีรังยั่งยืน เรียกว่าไม่เที่ยง ถ้าเราไปติดอกติดใจ เรียกว่าเราไม่ละ ไม่ละก็คือติด ละคือหลุดคือวาง ไม่ละก็คือไม่วาง ไม่วางก็คือติด ติดขัด ติดข้อง เอาเรื่องที่เจอมาคิดอยู่นั่นแหละ โอ้…ดีจังเลยเน้อ ดีจังเลยเน้อ ติดอยู่อย่างนั่นแหละ ติดเอาจนไม่เป็นตาที่จะมีสติสตังอยู่กับเรื่องอื่น มันก็เป็นโทษเห็นไหม จะไปติดมันทำไม ไปเจอคนส้วย…สวย ไปเจอทรัพย์ดี๊…ดี ถ้าไม่วางเป็นอย่างไร ไปติดมันเป็นไง อยากได้อยู่นั่นแหละ โอ้…เพชรเท่าลูกมะนาวทำอย่างไรจึงจะได้หนอ ติดอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะมีโอกาสได้ไหมนั่น ไม่รู้ ไม่มีจุดปลายทางเอาไว้ว่าจะได้ไม่ได้ ถึงไม่ได้มันก็อยากได้

...

ความอยากนี้ทำให้ขุ่นมัว อยากนี้คือตัณหา ก็เพราะไม่วางมันก็เลยเป็นตัณหา ส่วนคนที่ไปเห็นไปพบเหมือนกันกับเรา แต่เขาไม่ได้อยาก เขาวางแล้ว ทำไมเขาวางไว้ ก็เพราะเขาคิดตามความเป็นจริง โอ้ย…เพชรเม็ดใหญ่ๆ อย่างนี้ไม่รู้จะไปห้อยตรงไหน เอาไปแช่น้ำกินแก้ไข้แก้ปวดก็ไม่ได้ เอาไปแล้วจะไปใส่โชว์ก็ไม่ได้ เขาฟันขาฟันหัวเอาเพชร ไม่เห็นคุณเลย มีแต่โทษ เอาไปเก็บใส่ตู้เซฟ โอ้…ของตั้งแพงเป็นร้อยๆ ล้าน นึกว่าจะเอาไปตั้งให้คนดูกันทั้งวันทั้งคืน เปล่าหรอกไม่กล้า มีก็ยังไม่กล้าบอกใครว่าเอาไว้ตรงไหนอย่างไร…เออ โอ้…แล้วจะมานั่งเป็นทุกข์อยู่ทำไมนั่น ไปซื้อกุหลาบไปซื้อดอกไม้มาปลูกคนเดินผ่านไปผ่านมาข้างทางยังเห็น ก็ยังเจริญหูเจริญตา แล้วไม่ต้องกลัวหายด้วยต้นละยี่สิบบาท

...

คนที่เขาละเขาวางได้ เขาก็จะมีหลักในการคิดของเขานั่นแหละ เรียกว่าเขาไม่ติด ไม่ติดว่าเขาจะต้องเป็นเจ้าของหินเม็ดนี้ให้ได้ เพชรนี่มาจากหิน หลายล้านปีแล้วกลายเป็นใส เขาเลยเรียกว่า ไดมอนด์ หลายๆ ประเทศรู้จักในนามไดมอนด์ ไทยเรียกเพชร พัชระ พัชรา คือเพชร พัชรีก็ใช่นะเพชร หมายถึง หินที่มีค่าที่สุด ที่สุดแห่งความเป็นหินคือเพชร มันไม่ใช่มาจากอย่างอื่นหรอกนะ คนที่คิดแล้วติดหรือไม่ติด แล้วแต่เหตุผลของผู้นั้น พระพุทธเจ้าบอกให้คิดตามเป็นจริง คำนึงถึงความมีประโยชน์เป็นประโยชน์เป็นใหญ่

บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๖๒