คิดเป็น เห็นธรรม

คิดเป็น เห็นธรรม คิดเป็น เห็นธรรม

เกิดมาเพื่อเมตตา เกิดมาเพื่อให้อภัย เกิดมาเพื่อทำชาติสุดท้ายให้สิ้น

  • 2024,Apr 24
  • 2580

จะโกรธได้อย่างไรกับคนที่ยังไม่รู้ จะเกลียดได้อย่างไรกับคนที่ยังไม่ได้ฝึก ไม่ได้อบรมสั่งสอนในตัวเอง พอคิดอย่างนี้มันก็โกรธใครก็ไม่ได้ เกลียดใครมันก็ไม่ควร เราไม่ควรจะโกรธจะเกลียดใครๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะถูกหรือจะผิด ก็มีแต่อภัย ผิดก็อภัย ถูกก็สรรเสริญ ธรรมชาติของจักรวาล ก็จะต้องเป็นอย่างนั้นด้วย

...

ผิดแล้วไม่ให้อภัยนี่ผิดธรรมชาติ ผิดกฎมณเฑียรธรรม ผิดแล้วไม่ให้อภัยกันนี่นิพพานไม่ได้ เป็นอริยจิตไม่ได้ การที่จะรู้ว่าใครเป็นโสดาบัน ใครเป็นอริยบุคคลดูตรงนี้ด้วย รู้ถึงคนที่ว่าให้อภัยหรือไม่ให้อภัย อภัยไม่เป็นนี่เธอปุถุชนแน่ๆ เพราะเธอยังไม่เห็นคุณถึงการให้อภัย ไม่เห็นโทษของการอาฆาตพยาบาท จะเรียกว่าฉลาดได้อย่างไร ? จริง พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเช่นนั้นแหละ เกิดมาเพื่อเมตตา เกิดมาเพื่อให้อภัย เกิดมาเพื่อทำชาติสุดท้ายให้สิ้น ก็ต้องมีลักษณะอย่างนั้น

...

อ้าว ก็มันผิด เราไม่ได้ว่าผิดหรือไม่ผิด ผิดแล้วไม่ให้อภัยถือว่าไม่บาป บาป (บาป แปลว่า ไม่ดี) จะไปจำฝังจิตฝังใจในความชั่วของคนอื่นๆ ไว้ มันได้ประโยชน์อะไร อ้าว จะได้เกลียดถูก จะได้รักถูก จะได้เลือกคบได้ถูก ถ้าจะจดจำไว้อย่างนั้น คนชั่วเมื่อกลับเนื้อกลับตัวมาเป็นคนดีแล้ว ก็ยังจำของเก่าๆ อยู่ล่ะ ก็เท่ากับจำผิดอีกนั่นแหละ เขาดีแล้ว ตอนนี้เขาดีแล้ว ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะดีได้ อย่างนี้ ครั้งหนึ่งมันเคยทำผิดไว้ ฝังจิตติดใจอยู่ แม้เขาแก้ไขถูกต้องแล้วมันก็ยังฝังจิตฝังใจอยู่ ไม่อภัยอยู่ดี ก็จึงว่าใช้ไม่ได้ ถึงแม้ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย ยังเป็นคนผิดอยู่อย่างนั้น ก็มีความหวังอยู่ว่า ขอให้เธอกลับจิตกลับใจเป็นคนดี ไวๆ ด้วยเถอะ ไปฆ่าไปแกงไม่ลงหรอก หรือจะใช้คนอื่นให้ไปทำร้ายทำลายมัน เราก็ไม่ทำหรอก

...

สภาพจิตใจอย่างนี้เรียกว่า หิริโอตตัปปะ ความละอายความเกรงกลัวต่อบาป ไม่จำเป็นที่จะต้องกระทำเอง เห็นคนอื่นทำเราก็ละอาย เราก็เกรงกลัว เห็นคนอื่นทะเลาะกัน เราไม่ได้ไปเป็นคู่กรณี เราก็ยังเสียใจ สลดสังเวชเลย ไม่อยากให้มนุษย์ทะเลาะกัน ...

บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐