คิดเป็น เห็นธรรม

คิดเป็น เห็นธรรม คิดเป็น เห็นธรรม

อย่าเสียเวลากับคนที่มีความเห็นผิด

  • 2024,Mar 29
  • 3616

การฟังธรรมเป็นนิสัยของคนดี ใครชอบฟังธรรมน่ะคนดี เพราะธรรมะชั่วๆ ไม่มี ชื่อว่าธรรมะหมายถึงสิ่งที่ดี คนที่ฟังสิ่งที่ดีต้องเป็นคนดีแน่ ถ้ายังไม่ดีก็กำลังจะดี ฟังบ่อยๆ จะได้ดี ตรงกันข้ามคนที่รังเกียจในการฟังธรรม คือคนชั่วไม่ชอบฟังความจริง หรือถ้ายังไม่ชั่วก็กำลังจะเป็นคนชั่ว ก็เลยการอยากจะรู้ใครดีใครชั่วนี่ สิ่งที่จะบอกให้รู้มีเยอะหลายด้าน หลายแง่ พระพุทธเจ้าท่านจึงมองไม่ผิดหรอก ทำไมจึงมองไม่ผิด ก็มันมีเหตุให้รู้ตั้งเยอะแยะ โดยไม่ต้องเอาลี้ลับเอาอัศจรรย์อะไร โดยยังไม่ต้องใช้กำลังภายในอะไร เอาแค่มองภายนอกนี่สิ่งบ่งบอกก็มากมายใครดีใครชั่ว

...

ดูเฉยๆ ไม่ได้ ต้องฟังตอนมันพูด พูดอย่างไร พูดไม่มีเหตุไม่มีผลเลย พูดเอามันเข้าว่าไม่เอาถูกเอาผิดเป็นเกณฑ์ รู้แล้วคนนี้ชั่ว พูดเอาแต่ตัวได้ พูดแต่ที่จะให้คนอื่นเสีย คนดีก็คงไม่พูดอย่างนั้น ก็ดูออก ก็ฟังออก จากฟัง จากตาเห็น พระพุทธเจ้าจึงบอกการตรวจสิ่งที่ถูกที่ผิด คนที่ไม่ได้ฟังพระพุทธเจ้าจึงไม่รู้วิธีที่จะตรวจว่าอะไรผิด อะไรถูก คิดเอาเอง โอกาสที่ผิดจึงมีเยอะ เพราะคนที่ผิดเองคือปุถุชนไม่ใช่อรหันต์พุทธเจ้า ระดับสติปัญญามันต่างกันนัก การที่จะรู้จริงรู้แจ้งจึงเชื่อยังไม่ได้ เมื่อเทียบกับตถาคต กับพระพุทธเจ้า

...

ใครที่ปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้า มีโอกาสก็อยู่ห่างๆ อันตราย ไม่ผิดเลย ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย โอ้ไม่น่าเชื่อเนอะ เอาเถอะ อย่าดูจากรองเท้าเข็ดขัดทรงผม อย่าดูจากตำแหน่ง อย่าดูจากใบประกาศ แค่เพียงอย่างเดียวรู้แล้ว ฉันไม่เชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ประโยคเดียวพอแล้ว มีอะไรเรารีบหนีรีบไปทำอย่างอื่นของเรา อย่าเสียเวลากับคนที่มีทิฐิผิด ซึ่งเจ้าตัวคนที่พูดก็อาจจะยังไม่รู้เลยว่านั่นล่ะค้านกับคำสอนของพระพุทธเจ้า จากความเป็นจริงนั่นเอง เธอตั้งทิฐิคือความเห็นเอาไว้ตรงข้ามกับความเป็นจริง แค่ประโยคเดียวนี่ อย่าเสียเวลาคบเลย ร้อยปีมันน้อยอยู่แล้ว ไปคบกับผู้ที่ไม่เอาธรรมะ ไม่เชื่อธรรมะ มันก็จะเสียเวลาเรา เป็นมิจฉาทิฏฐิ

...

พระพุทธเจ้าจึงตรัสคำหนึ่ง ว่าเราไม่เห็นมีโทษยิ่งกว่ามิจฉาทิฏฐิ โทษที่ใหญ่หลวงคือโทษของการเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือการเป็นผู้เห็นผิด จริง จะให้เกิดมาสวยมาหล่ออย่างไรก็ตามแต่ ถ้าทิฐิมันวิบัติเสียแล้วนี่ หมดความหมาย สวยแต่รูปจูบไม่หอมนั่นแหละ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรจากความสวย จากความหล่อ

...

มิจฉาทิฏฐิคือสมองกลวง ศัพท์แสลงของยุคปัจจุบัน ปัจจุบันศัพท์แสลงเยอะตามไม่ทันหรอก มันมีสมองนี่แหละแต่เปรียบเสมือนกลวง มันไม่มีสาระอะไรอยู่ข้างในนั่นเอง มันเห็นผิดไปแล้วไง ผิดล่ะ เก่งก็เก่งในการทำชั่วไป เก่งในการที่จะพูดหยาบคาย พูดเท็จตลบตะแลง เก่งในการที่จะสร้างแง่สร้างเหลี่ยม นั่นแหละ เป็นโทษ จริงของท่าน เขาไม่เชื่อว่าถ้าเขาทำอย่างนั้นจะได้ชั่ว เขาเชื่อว่าถ้าเขาทำอย่างนั้นแล้วนั่นแหละ จะทำให้เขาได้เปรียบ มองดูดีกว่าคนอื่นๆ พยายามจะรักษานิสัยนั้นๆ ไว้ ไม่ได้แก้ไขเลยสูญเปล่าไปชาติหนึ่ง ชาติหนึ่งไป นี่แหละจริงของท่านที่ท่านตรัส เราไม่เห็นอะไรจะมีโทษยิ่งไปกว่าการเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือการเป็นคนที่เห็นผิดจากครองธรรม จากความจริง

...

ฉันไม่เชื่อว่าการบวชจะทำให้คนพ้นทุกข์ได้จริง ฉันไม่เชื่อว่าการปฏิบัติธรรมจะทำให้คนชั่วกลายเป็นคนดีได้จริง อย่างนี้ก็เห็นผิดแล้ว จากคนชั่วกลายเป็นคนดีได้ แต่ไม่มีหรอกคนดีถ้ามาปฏิบัติธรรมแล้วจะกลายเป็นคนชั่ว ไม่มี ถ้าเธอปฏิบัติถูกนะ ถ้าปฏิบัติถูกนี่มันไม่มีหรอก แต่ถ้าอยู่ๆ เดิมเป็นคนดีแล้วมาบวช ออกไปแล้วเสียผู้เสียชี โอ้ นั่นเธอไม่ได้ปฏิบัติแล้ว เธอไม่ได้เข้ามาเพื่อปฏิบัติ เธอไม่ได้เข้ามาเพื่อทำตามพระพุทธเจ้าแน่นอน กายเธอไม่ได้ฝึก วาจาเธอไม่ได้ฝึก จิตใจเธอไม่ได้ฝึก เธอเลยออกไปเสื่อมเสีย โอ้มันเสียของมันมาเองนะนั่น จะว่าดีเข้ามาก็ไม่ใช่ เพราะถ้ามันดีมันก็จะบอกคุณภาพของมันเอง ของดีน่ะ คนที่อยู่ใกล้ชิดก็จะรู้ คนที่ฟังที่ได้เห็น ก็จะรู้ว่าคนนี้คนดี

...

ดังนั้นการฟังธรรมจึงเป็นกรรมดี กรรมฝ่ายดี ใครที่ได้กระทำจึงถือว่าได้ทำดี แต่จะได้ผลแล้วหรือยังก็พยายาม ต้องอาศียความเพียร คือความพยายามบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ ทำตามบ่อยๆ ครั้งหนึ่งหนเดียวก็ได้ผลสำหรับคนมีบุญมามาก แต่ถ้าคนบุญน้อยจะต้องทำบ่อย คือมากกว่าหนึ่งหนขึ้นไป


บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐