คิดเป็น เห็นธรรม

คิดเป็น เห็นธรรม คิดเป็น เห็นธรรม

หวัง...ในสิ่งที่ยังพอจะสมหวังได้บ้าง

  • 2024,Mar 28
  • 2427

เสียงเพราะก็ดี เสียงไม่ไพเราะก็ดี ห้ามใส่ความหมาย ว่าชอบว่าชัง ขออย่างเดียวว่า มันมาให้ได้ยินก็ได้ยินเฉยๆ จะบอกว่าดีเนอะ อยากได้ยินอีก ไม่ดีเนอะ อย่าให้มาได้ยินดี ไม่ให้คิดเช่นนั้น จะฝึกสักแต่ว่าได้ยิน ต้องคิดอย่างนี้ ต้องมีปัญญา จะทำอย่างไรกับสิ่งที่มาผัสสะ มาสัมผัสกับหู ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเราไม่ชอบ จะทำอย่างไรให้ไม่ชอบ จะทำอย่างไรให้มไม่ชัง จะทำอย่างไรให้เฉยๆ ก็เลยต้องสมมุติขึ้นมาในเสียงทั้งหลายเหล่านั้น โดยใช้ปัญญาของเรา ที่จะไปบอกกับตัวเองให้ได้ว่า เสียงมันสักแต่ว่าเสียง จริงๆ มันก็มีเสียงสูงเสียงต่ำ

...

อย่าใส่ความหมายว่านี่คำด่า นี่คำสาปแช่ง ว่านี่คำนินทา ว่านี่คำส่อเสียด เอาเป็นว่าโชคดีจังเลยเรา ที่เกิดมาหูไม่หนวก เลยได้ยินคนพูดทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจ ได้ยินคนพูดทั้งที่จริงและที่เท็จ ได้ยินคนพูดทั้งที่มีสาระและไร้สาระ ประโยชน์จากการหูไม่หนวก นี่ดีจังหนอ แต่ถ้าไปใส่อารมณ์กับเสียงเหล่านั้น เท่ากับหูที่ไม่หนวกนั่นจะกลายเป็นโทษกับเจ้าของ เป็นเหตุเพราะหูดีฟังรู้เรื่องรู้ความหมาย ก็เลยไปโกรธในความหมายที่หยาบคายนั้นเข้า ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว เศร้าหมอง ตอนนี้คนหูดีประเภทนี้จะแพ้คนหูหนวก

...

ด้วยว่าคนหูหนวกไม่ได้ยินประโยคเหล่านี้ ว่าเขาด่าเขาแช่ง อารมณ์ก็เลยไม่ได้ขุ่นมัว จิตก็เลยผ่องใสอยู่ คนหูหนวกก็เลยกลายเป็นว่าดีกว่าเราไปเสียแล้ว เรากลับหูดีแต่เป็นพิษเป็นภัยกับใจของเจ้าของนี่ ไม่ควรมั้ง ไม่ถูกล่ะมั้ง นี่คืออุบายในการที่จะวางเสียง ที่ว่าวางเสียงนั้น คือวางด้วยปัญญาอย่างนี้ อีกวิธีหนึ่งถ้าไม่ไหวจริงๆ เดินหนีไปเสีย อย่าให้ได้ยิน อุดมันไว้ เอาสำลี เอาใบไม้ หรือเอาผ้าอุดมันไว้ ไม่ต้องหนีไปไหน วิธีแรกใช้ขาเดินหนีมันไป อีกวิธีหนึ่งขี้เกียจเดินให้เมื่อย หาอะไรก็ได้มาอุดหูไว้ ไม่ให้เสียงมันเข้าไปได้ ขาไม่ต้องเหนื่อยเดิน นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะให้ไม่ได้ยินเสียง

...

แต่วิธีเหล่านั้นท่านว่ามันหยาบไป ต่อไปนี้เราจะต้องฝึกให้อยู่กับเสียงทั้งหลายให้ได้ โดยไม่ต้องเดินหนีเหมือนประการแรก หรือโดยไม่ต้องอุดหูเหมือนประการที่สอง ยังคงนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น เดินหนีก็ไม่ใช่ อุดหูไม่ให้ได้ยินเสียงก็ไม่ใช่ ก็ได้ยินอยู่ ก็อยู่ตรงนั้นไม่ได้หนีไปไหน แต่ใจก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เสวยความชอบความชังในเสียงนั้นเลย

...

พวกนี้เก่ง ประเภทนี้เก่ง ไม่ต้องวุ่นวายในการหาวิธีหลบหลีกเหมือนกับสองประการแรก แต่อยู่มันเฉยๆ นี่แหละ เหมือนเราไม่ได้ยินเสียงนี้ อีกนัยยะหนึ่งว่าเหมือนหูเราหนวก เหมือนเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หรือว่าเหมือนเราตายไปแล้ว หรือว่าเหมือนเรายังไม่ได้มาเกิด ประโยคนี้จะไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจเราเลย การทำอย่างนี้เรียกว่ามีปัญญาดับทุกข์ สดๆ กันอย่างนี้เลย ปัญญาดับทุกข์ ปัญญาดับสุข

...

สุขไปดับมันทำไม ? มันได้ยินที่ดีที่ชอบแล้วต้องดับด้วย เพราะเดี๋ยว ประเดี๋ยวนี้ อีกเดี๋ยวเดียว เสียงที่ชอบมันจะหยุดแล้ว มันจะจบเพลงแล้ว มันจะหายไปแล้ว พอมันหายไป ถ้าเกิดแกชอบอยู่ล่ะก็ แกจะต้องเสียใจเลย ไม่อยากให้มันหาย นั่นแหละคือเสียใจ จะเสียใจน้อยก็เรียกว่าเสียใจ จะเสียใจมากยิ่งหนักใหญ่ นั่นล่ะ โทษของการไปชอบ ก็เลยไม่อยากจาก ไม่อยากพรากในเสียงนั้น ไอ้ที่ชอบนั่นคือสุขหรือทุกข์ล่ะ ? สุขเขาหละ แต่มันหยุดปั๊ปกลายเป็นทุกข์เลย จะเอาอี๊ก เอาอีก เหมือนวัยรุ่นใช้คำแสลงกันทั้งหลาย เพลงมันก็จบคนก็ไม่อยากจะให้จบ เอาอี๊ก เอาอีกอยู่อย่างนั้น ไม่ให้มันอีก มันทุกข์นะ มันทุกข์ แหมขอก็ไม่ได้ เอาอีกก็ไม่ให้ เห็นไหมไปติดสุขเข้า

...

ดังนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้วางหมด สุขก็วาง ทุกข์ก็วาง โดยไม่ต้องหนีไปทางไหนหรอก ก็ยังคงอยู่บนโลกใบนี้ แต่อยู่โดยไม่เสวยกับมัน ซึ่งความชอบความชัง ตรงนี้ต้องใช้คำว่าอุเบกขา คือการวางเฉยเสีย ไม่ต้องเหนื่อยเดินหนี ไม่ต้องทุรนทุรายหาสำลีหาผ้าหาดินมาอุด หนีทางจิต หนีด้วยปัญญาอย่างนี้ ฝึกได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน นี่อายตนะหู เอามาพิจารณาแล้ว อันนี้เป็นบุญ อันนี้เป็นบาป อันนี้เป็นกุศล-อกุศล แล้วก็เฉยเสีย แล้วก็นิ่งเสีย จบกัน

บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕