ถ้าได้กระทำถึงศีล สมาธิ ปัญญา ถือว่าเป็นการทำจิตให้สูง อย่าเข้าใจว่าตัวเองสูงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำสามสิ่งนี้ เพราะการเข้าใจเช่นนั้นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นความเห็นผิด เป็นการหลงตนลืมตัว เป็นการสำคัญตนที่ทำให้หยุดทำความดี คือย่อหย่อนในการทำความเพียรนั่นเอง ซึ่งจะเป็นเหตุนำไปสู่ความเสื่อมจากมรรคผล นิพพาน คนดีจะไม่เคยคิดว่าตัวเองดีแล้ว คนดี จะไม่คิดว่าตัวเองดีแล้ว เมื่อดีแล้วก็เลยไม่จำเป็นต้องทำความดีอีก คนดีแล้วไม่คิดอย่างนั้น คนดีที่คิดว่าตัวเองทำชั่วก็ไม่บาป ไม่ผิด นอกเหนือกฎเกณฑ์จากการผิดแล้ว คนโง่ที่คิดอย่างนั้น เขาไม่รู้จักสภาวะที่มันดีนั่นเอง
...
คนที่สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ ตัวเองทำผิดทำชั่วก็ไม่บาป นอกเหนือบาปแล้ว การเข้าใจอย่างนั้นคือคนโง่ เข้าใจผิด ที่ถูกคือ ถ้าคนดีแล้ว อรหันต์แล้ว ทำไมยังทำชั่วอยู่ล่ะ หญ้าปากคอกก็ตีไม่ออก อยากจะทำชั่วก็เลยอ้างว่าทำชั่วไม่ผิดแล้ว พวกอรหันต์ปลอมมีเยอะ อย่าไปฟังมันเชียวนะ พวกสำคัญตนผิด อรหันต์คือไม่กระทำความชั่วแม้ในที่ลับที่แจ้ง ถ้าไม่ได้คิดว่าทำชั่วทำผิด ไม่ต้องรับโทษ ปัญญามันไปไม่ถึง แต่มันอยากจะเป็นอยากจะอวด
...
ดังนั้นงานละความชั่วนี่ มันเป็นงานของคนดี จะระดับใดก็ตามแต่ ถึงจะเป็นปุถุชนยังไม่ได้เป็นพระอริยะเบื้องต้นคือโสดาบัน ปุถุชนที่เป็นคนดี ปุถุชนนี่ไม่ได้แปลว่าคนชั่วนะ แปลว่าคนธรรมดาที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยะ แต่ก็เป็นคนดีได้ เดี๋ยวจะว่าปุถุชนคือคนที่ไม่ดีทั้งหลาย พวกเราถือปุถุชนคือคนที่ไม่ดีทั้งปวง ก็อย่าแปลว่าอย่างนั้น ปุถุชนแต่เป็นคนดี ไม่ทำชั่วอะไรเลย ก็ได้ แต่มันยังละเครื่องร้อยรัด เครื่องสังโยชน์บางอย่างไม่ได้ แต่ก็เป็นคนดีนี่แหละ ไม่ได้เคยเบียดเบียนอะไรใคร พูดจาก็ไพเราะอยู่ น้ำใจก็ดี แต่ยังไม่ได้ตำแหน่งโสดาบัน แต่ถือว่าเป็นคนดีของโลก
...
ถ้าจะยกตัวอย่าง อย่างเช่นในกรณีพระโพธิสัตว์ ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาเกิด ท่านมาเกิดท่านไม่ทำความชั่วหรอกนะ ทำดีนี่แหละ แต่ให้ทำดีมากมายขนาดไหน ยังละสังโยชน์ไม่ได้ ยังละเครื่องร้อยรัดไม่ได้ ยังไม่บรรลุธรรม ยังเป็นปุถุชน แต่เป็นปุถุชนในระดับของผู้สร้างบารมีโพธิสัตว์ หวังรอตำแหน่งพระพุทธเจ้า บางคนก็รอตำแหน่งอัครสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป จะไปตรัสรู้บรรลุเอาในเบื้องหน้า แต่เมื่อเกิดมาก็ไม่ทำชั่ว
...
ดังนั้นให้จิตไว้ว่า งานของเราคืองานที่ดีทั้งปวง งานที่เสียที่ชั่วจะหลีกเลี่ยงให้ได้ มันก็ไม่ได้มาบังคับให้เราทำหรอกนะ แต่ถ้าเราไม่หลีกเลี่ยง มันอาจจะชนกระโดนกันได้ ก็หลีกเลี่ยงซะ เรียกว่าละชั่ว ทำดีละชั่วคือศีล ทำดีคือศีล สงบระงับกายสังขาร วจีสังขาร มโน (จิตใจ) ที่ฟุ้งซ่าน ระดับกาย-วาจา-ใจ ให้สงบสงัดจากกามคุณได้ เรียกว่าสมาธิ หยุดการครุ่นคิดถึงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งหลายมันบ้างในวันหนึ่ง คืนหนึ่ง ก็เรียกว่า สงบสงัดจากกามคุณมันบ้าง ด้วยการปลีกหลีกเร้นหาที่อันสงบสงัด เป็นที่ส่วนเฉพาะเรา อย่างที่ท่านมานั่งในคืนนี้ นี่ก็ถือว่าท่านปลีกหลีกเร้นมา เข้าสู่ความสงบสงัดจากกามคุณทั้งหลาย
...
มันเป็นสัญลักษณ์หรือการกระทำของคนที่ใคร่ต่อการพ้นทุกข์ ถ้าเราตรวจตัวเองเราอาจจะภูมิใจในตัวเองก็ได้นะ ว่าฉันก็ไม่นึกเหมือนกันว่าชาตินี้ ฉากนี้มุมนี้จะมีในชีวิตฉัน มานั่งในที่สงบสงัดปิดตาปิดไฟ ประชุมกัน ทำความสงบสงัดอยู่ ไม่คิดว่าจะได้เข้าสู่สังคมแบบนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนเราอาจจะใช้ชีวิตรื่นเริงบันเทิงตามยุคสมัยของโลก หลังจากเลิกงานก็มีงานเลี้ยงสังสรรค์ งานสังคม เขาใช้คำว่าอย่างนั้น งานของสังคม งานของเพื่อนร่วมโลก ที่มักนิยมทำกันหลังจากเลิกงานกลางวัน ยามค่ำคืนก็จะมีกิจกรรมอื่นๆ แต่เราก็ละมาได้ วางมาได้ ก็ไม่ได้ติดอยู่ตรงนั้น นั่นแหล่ะ สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า เราก็มีวาสนาในทางธรรม ในทางที่ประเสริฐ ไม่ใช่คนติดยุคประเพณีติดโลก
...
เอามาคิดให้ตัวเองอิ่มเอิบปีติภูมิใจ ไม่ผิด เป็นฝ่ายกุศลฝ่ายดี คิดบ่อยๆ มันจะได้ให้เกียรติตัวเองภูมิใจตัวเอง ก่อนที่คนอื่นจะมาภูมิใจเรา เรานี่แหละจะต้องตรวจความภูมิใจของตัวเอง ต้องกระทำกรรมที่ประทับใจตัวเองให้ได้ตามจริงเสียก่อน ดูว่าที่เรามาทำนี่คือมายาแสแสร้งแกล้งทำหรอกหรือ ว่าถ้าจะลงทุนแกล้งถึงขนาดยอมโกนหัวโกนเครา ไม่แต่งหนวดแต่งเครา คงไม่ลงทุนสูงอย่างนั้นหรอกมั้ง มานั่งนุ่งห่มผ้าบังสุกุล
...
ตรวจตัวเองมันจะทำให้ยั้งคิด ฉุกคิค จะได้รู้ว่าตัวเองกำลังกระทำกรรมดีอยู่ ใส่ชุดขาว ถอดเครื่องประดับประดาทั้งหลาย ละรองเท้าส้นสูงกางเกงหลากสี รวบผมมาสำรวมกายสำรวมใจอยู่นี่ เรากำลังทำดี ทำสิ่งที่ประเสริฐอยู่นะ เราแกล้งทำหรือ ไม่ได้แกล้งนี่ เต็มใจจะกระทำตาม ฉะนั้นผลที่ได้รับการจากกระทำ มันก็ต้องเป็นผลที่แท้จริง เป็นบุญจริงไม่ใช่บุญปลอม แล้วจิตใจที่คิดอย่างนี้เรียกว่า ยกระดับแล้ว ถ้าไม่คิดมันก็ไม่ได้ยก ฉะนั้นการนึกคิดนี่ การทำงานทางจิตให้เห็นคุณค่าขึ้นมานี่ เขาเรียกว่าวิปัสสนา คือการทำปัญญาให้ตัวเองนั้นเห็นคุณค่าของบุญของความประเสริฐ
...
ถ้าใครเข้าใจคิด มีกุศโลบายในการที่จะนึกคิดให้ตัวเองเห็นคุณค่าเห็นความสำคัญในการปฏิบัติของตนเองได้ เขาเรียกว่า คนมีปัญญามาก พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่าเป็นผู้มีปัญญามาก สามารถทำให้จิตใจที่สูงขึ้นได้ ด้วยการนึกคิดในแง่ต่างๆ ด้วยกุศโลบายของตัวเอง
บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๖๑