ความใหม่หรือความเก่า ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความดี คบหาสมาคมกันดูที่กรรมที่คนๆ นั้นทำ อย่าดูที่อายุ อย่าดูที่เพศที่วัย ดูการงานที่เขาทำ ทำดีหรือทำชั่ว ทำผิดหรือทำถูก ดูตรงนั้น
การขอขมาต้องขอจากจิตจากใจที่สำเนียกสำนึกจริงๆ จึงจะได้ผล ที่ให้ขอบ่อยๆ นั่นแหล่ะเผื่อจะมีสักครั้งหนึ่งที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกจริงๆ
...
ถ้ามันออกมาได้จริงๆ สักครั้งหนึ่งนี่ ไม่ห่วงหรอก จะไม่คอยรบกวนให้ทำบ่อยๆ เลย เพราะเจ้าของรู้แล้ว ระลึกในบุญคุณแล้ว ยำเกรงในโทษในบาปทั้งหลายแล้ว ก็ไม่ต้องบอกอะไรกันมาก แต่ทั้งนี้ด้วยความเป็นจริง ยังไม่ได้เข้าถึงกันโดยทั่วไปโดยมาก มีผู้ใหม่มาอยู่เรื่อยๆ หรือมีผู้เก่าที่ยังไม่ได้แก้ไขอะไรเลย ก็ยังอีกเยอะ
...
จริงๆ ความใหม่หรือความเก่าก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความดีหรอก ผู้มาใหม่อาจจะเตรียมจิตเตรียมใจมาดีกว่าคนที่อยู่เก่าอีกด้วยซ้ำ มีความระมัดระวังยำเกรงมาก่อนแล้ว
...
งั้นก็ อย่าเอาความใหม่เอาความเก่ามาข่มเหงกัน เอาความถูกความผิดเป็นใหญ่เถอะ เอาความจริง เป็นประธานเถอะ เดี๋ยวจะมาเข้าใจผิดๆ คนเก่าย่อมดีกว่าคนใหม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ คนใหม่เผลอๆ อาจจะดีกว่าคนเก่า เพราะเพิ่งมายังไม่ผิดอะไรมาก คนเก่าผิดมานานแล้วยังแก้ไม่หายเลย
...
งั้นจริงๆ ต้องกลัวคนเก่ามากกว่ากลัวคนใหม่ คนเก่าที่ไม่ได้ผลมันน่ากลัวกว่าคนใหม่ที่ระมัดระวังมา เขาเลยมีคำกระทบกระแทกไว้นิดๆ ไอ้พวกแก่วัด นั่นแหละถ้าได้ยินคำนี้มันหมายถึงอันนี้แหละ หมายถึงที่หลวงพ่ออธิบายให้ฟังนี่แหละ
...
พวกแก่วัดถือว่าเคยบวชมาก่อน เคยบวชมาได้พรรษา เคยบวชมาหลายพรรษา อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะ เนี่ย พวกแก่วัดแต่ไม่มีผลวัดแล้วไม่ได้ผล ก็เลยอย่าไปเชื่อมัน ดูกรรมดูการกระทำของมันเป็นใหญ่
...
พระพุทธเจ้าบอก คบหาสมาคมกันดูที่กรรมที่คนๆ นั้นทำ อย่าดูที่อายุ อย่าดูที่เพศที่วัย ดูการงานที่เขาทำ ทำดีหรือทำชั่ว ทำผิดหรือทำถูก ดูตรงนั้น
หลวงพ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต
สำนักวิปัสสนาป่ากล้วย อุตรดิตถ์
27 มกราคม 2566