จิตวิญญาณดวงนี้ แค่เพียงได้ยินได้ฟังความจริงก็ได้บุญแล้ว เป็นบุญแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังทำไม่ได้ หรือทำตามได้ครบก็เถอะ ก็เป็นบุญแล้ว สักวันหนึ่งถ้าอยากจะทำให้ได้ครบได้สมบูรณ์ขึ้นมาก็ยังรู้วิธีอยู่หรอก ประโยชน์ของมันคืออย่างนั้น
...
พระศาสดาที่โยมฟังมาเข้าใจหมด แต่โยมยังทำไม่ได้ตามที่ฟังมา ยอมรับสารภาพตามเป็นจริง ยังผิดพลาดอยู่อีกหลายข้อหลายประการนักที่ชื่อว่าศีล แต่โอกาสที่จะทำให้ได้บุญได้กุศลมีอยู่หรือ วิธีใดที่จะเป็นบุญเป็นกุศลมีอยู่ไหมสำหรับฆราวาสอยู่ครองเรือน ผู้ต้องยังมีครัว มี ท่านก็บอกว่ามี ธรรมะของฆราวาส ธรรมะของคนครองเรือน การที่จะทำให้มีชีวิตอยู่แบบเป็นสุข แบบคนที่มีสามีมีภรรยา มีลูกมีหลาน มีเรือนแบบกินสามมื้อ มี เห็นไหมก็มีความดีแต่ละชั้นแต่ละขั้นที่จะให้ทำนั่นเอง
...
เธอก็ไม่ต้องเคร่งครัดเท่ากับภิกษุ ภิกษุณี หรอกนะ ไม่ต้องเท่ากับเณร ไม่ต้องเท่ากับพราหมณ์ทั้งหลาย เอาศีลห้าไป ท่องไว้จำไว้ง่ายๆ สามข้อ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส ชื่อว่าชั่วนั้นเลี่ยงได้เลี่ยงอย่าทำ อะไรชื่อว่าความดี ถ้ามีโอกาสทำ ทำไปเถอะ ถ้าไม่มีโอกาสได้ทำก็อย่าไปทำชั่วก็แล้วกัน ถึงไม่ได้ทำดีก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปทำชั่วก็แล้วกัน กระต่ายยืนขาเดียวอยู่อย่างนี้ เธอไม่ไปทอดกฐินกับเขาเหรอ ไม่ว่าง ไม่เป็นไร ถึงไม่ได้ไปทอดกฐินอยู่ทางนี้ก็อย่าทำชั่วก็แล้วกันเน้อ อย่างนี้ก็ยังดี ไม่ได้ทำดีแต่ก็ละจากชั่วได้ ใจก็ผ่องใสแล้ว
...
ข้อสำคัญทำใจให้ผ่องใสไว้อย่างเดียวได้ไหม ? ได้ แต่การที่ใจจะผ่องใสต้องละชั่ว เดี๋ยวบอกว่าถ้าทำชั่วแล้วใจยังผ่องใสดีอยู่ แสดงว่าทำได้ใช่ไหม ไม่ได้ ทำชั่วแล้วใจยังผ่องใสดี โอ้โหมันทวีคูณเลย คูณบาปคูณชั่วเข้าไปเลย ไม่ได้ ทำชั่วแล้วจะต้องขุ่นมัวต่อการที่ต้องไปทำชั่วนั้น จะมาผ่องใสที่ได้ทำชั่วไม่ได้นะ โกหกได้แล้วมานั่งดีใจ อย่างนี้ ดีใจที่ได้ทำชั่วได้สำเร็จปกปิดความชั่วไม่ให้เขารู้ พูดเท็จ โดยเขาไม่รู้แล้วเขาหลงเชื่อในคำเท็จเรา เนี่ยอย่างนี้นะ แล้วมานั่งดีใจ ไม่ได้ ไม่ได้ ต้องสลดใจ เราไม่น่าพูดเท็จเลย แต่ไม่ได้ถ้าพูดจริงไป ต่อไปเราจะไม่พูด มีความสลดหดหู่กับตัวเองเหลือเกินที่พูดเท็จไปอย่างนี้ถือว่า ยังพอมีโอกาสจะเป็นคนดีได้
...
ธรรมะฆราวาส อยู่กับบ้านไม่ต้องบวช แต่ให้ระมัดระวังในเรื่องเหล่านี้ ไม่พูดเพ้อเจ้อได้ไหม เป็นฆราวาสไม่บวชไม่ว่า แต่ไม่พูดเพ้อเจ้อได้ไหม อย่าพูดเอาแต่ตลกคะนองไม่มีสาระ แม้มนุษย์ด้วยกันก็จะไม่ศรัทธาเชื่อถือ ไม่ให้เกียรติ เพราะมันไม่มีเกียรติจะน่าให้ คนเพ้อเจ้อ ชอบพูดไร้สาระ มันผิดข้อสี่ รู้ไหม ไม่รู้ ในเมื่อรู้แล้วพยายามเลี่ยงนะ โอ้เราไม่รู้มาก่อน แค่ตลกเฉยๆ ไม่บาปอะไร จัดอยู่ในข้อสี่เหรอ วจีกรรม
...
วจีสี่อย่าง คำพูดสี่ประเภท (1) พูดไม่ตรงกับความจริง เรียกว่าเท็จ (2) พูดหยาบคาย ใช้คำไม่สุภาพ เรียกว่าหยาบคาย ถึงมันไม่เท็จก็เถอะ แต่ติดนิสัยหยาบคายด้วยคำพูด ก็จัดอยู่ในวจีกรรมที่เป็นชั่ว (3) ชอบนินทา ชอบส่อเสียดคนอื่นๆ ส่อเสียดคือพูดเหน็บแนบ ชอบพูดกระทบกระแทกแดกดั้นนี่แหละ ก็ไม่ได้จัดว่าเป็นคนดี นิสัยอย่างนั้นถ้ามีในใครถือว่ายังไม่ใช่คนดี วจีกรรมอีกอันหนึ่งก็คือ (4) เพ้อเจ้ออย่างที่ว่า สี่ข้อนี้คือวจีกรรมที่เป็นอกุศล ที่เป็นบาป
...
ในเมื่อไม่บวชไม่เป็นไร ไม่ได้มาถือศีลอยู่กับวัด ไม่เป็นไร แต่ระมัดระวังวจีในสี่อย่างนี้ ได้ไหม ธรรมะของฆราวาสของคนที่อยู่กับบ้าน อย่างไรเราก็ต้องพูดอยู่แล้วเป็นคนไม่ใบ้ แต่ถ้าพูดแล้วอย่าให้เข้าข่ายในสี่ประการนี้ จิตก็จะไม่ขุ่นมัวแล้ว เพราะตรวจความชั่วของตัวเองไม่ปรากฏจิตก็จะผ่องใส ถ้าเป็นฆราวาสสามารถรักษาจิตให้ผ่องใสอยู่ได้ตลอดไป นิพพานได้เหมือนกันโดยไม่ต้องบวช เป็นอรหันต์เป็นผู้ไกลจากกิเลสได้เหมือนกัน ที่ว่าบวชใจนั่นแหละ จริงๆ คือการบวชใจ บวชวาจา ใจเหมือนนักบวช ก็ต้องไม่ผิดในวจีกรรมอย่างนี้
...
นุ่งกางเกงใส่เสื้อ ไม่ได้ห่มจีวรก็ตามแต่ แต่วาจี วาจา วจี ไม่ผิดไม่บาป ใช้ได้ คือฆราวาสที่ยอดเยี่ยมเลย ยอดเยี่ยมแล้ว ไม่ต้องเสียทรัพย์ หรือวัตถุไทยทานใดๆ ไม่ต้องเอามาใช้เลย ปากอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ทำให้เจ้าของผุดผ่องเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาได้แล้ว วจีกรรม ประคับประคองให้ดีเถอะ แหล่งสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่เพียงแต่ยกริมฝีปากขึ้นๆ ลงๆ แค่นั้น ได้บุญแล้ว พูดออกมาก็เป็นความดี วาจาออกมาก็ไพเราะ ใครฟังก็เกิดประโยชน์ไม่ใช้เรื่องเพ้อเจ้อ ใครฟังไปแล้วก็ประพฤติตามทำตาม หรือได้ยินไปแล้วได้ฟังไปแล้ว ทำให้เขาสบายใจเป็นสุขใจ โดยไม่มีโทษเบียดเบียนในภายหลัง ถือว่าเราได้พูดดีแล้ว
...
แหล่งที่จะทำคุณงามความดีทั้งหลายมีครบอยู่แล้วในกายเรานี่แหละ แต่อย่าบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ ใช้คำว่ายังไม่ได้ทำ ดีกว่ามันจะมีโอกาส เรายังไม่ได้ทำเอง จะไปหาว่าตัวเองไม่เก่งไม่ใช่หรอก เธอยังไม่ได้ทำเองอย่างเอาจริงเอาจังแค่นั้นแหละ แต่นี่แหละ คนที่เขาทำได้ก็ล้วนแต่มีมือเหมือนเรา ขาเหมือนเรา ปากเหมือนเรา ตาเหมือนเรา หูเหมือนเรา อวัยวะสามสิบสองเหมือนเราทั้งนั้น เป็นแต่เขาทำแล้ว เรายังไม่ได้ทำแค่นั้นเอง ถ้าว่าเราทำเสียมันก็พร้อมจะประสบผลสำเร็จ เมื่อไหร่เราจะทำ ถามตัวเองแค่นั้นแหละ เมื่อไหร่เราจะทำ กายเราก็มีแล้ว (กายกรรม) การกระทำทางมือทางขา เมื่อไหร่เราจะกระทำ กระทำทางวาจา เมื่อไหร่เราจะทำจะพูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์จะงดเว้นสิ่งที่เป็นโทษ มโนกรรม จิตใจความนึกความคิดเราก็มีแล้ว รู้ดีรู้ชั่วรู้แล้ว ทำไมจะคิดแต่ที่ดีๆ
...
คิดชั่วคืออะไร คือคิดอาฆาตพยาบาทคิดจองเวร คิดไปทำชั่วต่างๆ อย่าคิดอย่างนั้น คิดแต่จะไปทำดีทั้งหลาย คิดที่จะเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คิดตรงกันข้ามกับอาฆาตพยาบาทจองเวร คือเมตตา คือที่จะช่วยได้อย่างไร คือกรุณา คิดที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้อย่างไร คือมุทิตา จนปัญญาไปช่วยไม่ได้ เผื่อแผ่ไม่ได้ เราเองก็ไม่มีจะกิน เออ อุเบกขา วางเฉย ไม่เบียดเบียน ไม่ไปเบียดเบียน ช่วยไม่ได้ก็ไม่เบียดเบียนก็เฉยเสีย
...
ตรงข้ามกับอาฆาตพยาบาท ใจมีแต่เมตตา ถ้าเรารวยเราจะให้ ถ้าเรามีเราจะให้ อย่างนี้คิดอยู่อย่างนี้ ก็ถือว่าคิดดีแล้ว มโนกรรม การกระทำทางจิตทางใจได้บุญแล้ว ได้แล้ว เรามีใจไหมล่ะ มี นั่นน่ะสิ ทำบุญทางใจแล้ว ไม่ยากหรอก เป็นแต่ยังไม่ได้ทำแค่นั้นเอง เล่นสำนวนอย่างนี้ก็ไม่ผิดหรอก แต่เป็นการย้ำเตือนตัวเองว่า เราจะต้องทำให้ได้ ในเมื่อกายเราก็มี ปากเราก็มี มือขาเราก็มี แต่เรายังไม่ได้กระทำแค่นั้นแหละ เราจะต้องทำให้ได้ก่อนที่จะตายเราจะต้องทำให้สำเร็จ ก็ถึงบอกทุกคนมีโอกาส ตราบใดที่ยังไม่ตาย มีโอกาสทั้งนั้นแหละ โอกาสที่จะได้ทำความจริงให้ปรากฏ
...
นี่คือการนำไปสู่ความบริสุทธิ์ของการเป็นคนเป็นมนุษย์ นี่คือการที่เหนือกว่าเดรัจฉาน เหนือกว่านกที่บินได้ เหนือกว่าปลากว่ากุ้งที่อยู่ในน้ำ ฉันบินไม่ได้อย่างแกไม่ได้ก็จริง ฉันอยู่ในน้ำไม่ได้นานเท่ากับแกก็จริง แต่ฉันดีกว่าแกตรงนี้แหละ กุ้งปลากล่าวคำสรรเสริญในผู้กระทำความดีไม่เป็น ได้แต่กินจอกกินแหนเลี้ยงท้องเลี้ยงปากไปวันๆ เท่านั้น เราเหนือกว่ามันตรงนี้ เหนือตรงที่ทำดีได้ กุ้งไม่เคยสมาทานศีล ปลาไม่รู้ว่าการไปฮุบกินปลาด้วยกันตัวเล็กตัวน้อยนั่นคือบาป แต่เรารู้ เราไม่ฆ่ามนุษย์เล็กๆ น้อยๆ กิน อันนี้ที่จะเหนือกว่ามัน
...
ทั้งหมดทั้งสิ้นที่เราเกิดมา ได้รู้ถึงวิธีการใช้ขาใช้มือใช้ปากใช้ความคิด ถ้าใช้เหล่านี้ได้ถูกต้องจะได้กายที่ประเสริฐ ยอมแลกกับการอดกลั้นอดทนที่จะไม่ละเมิดในการกระทำผิดๆ ทั้งหลาย เพราะหวังจะได้กายที่ประเสริฐกว่านี้ จะได้ที่อาศัยของจิตที่มันเลิศกว่านี้ ผลตอบแทนมันมี ถ้าไม่มีเราก็ไม่รู้จะมานั่งอดออมไปทำไม จะมานั่งคอยระวังมือระวังขาระวังปาก ระวังใจไปทำไม ปล่อยกันโดยเต็มที่ไม่อัดไม่อั้น เพราะผลแห่งการทำชั่วไม่มี จะต้องมานั่งอดออมไปทำไม ทำไมพอใจฉันจะทำ ทำไมพอใจฉันจะพูด แต่นี้เรารู้ เราจึงมานั่งอดออม รู้ประโยชน์ของการนั่งอดนั่งออม จะได้ไม่มาลำบากอยู่ในกายประเภทนี้ คืออย่างนั้น ...
ฟังเสียงบรรยายธรรม ได้ที่นี่ค่ะ > https://youtu.be/LPxm9cpudNQ...
บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘