คิดเป็น เห็นธรรม

คิดเป็น เห็นธรรม คิดเป็น เห็นธรรม

ผู้ที่รู้จักถ่อมตน ย่อมเป็นมงคลชีวิต

  • 2024,Nov 21
  • 3161

จิตดวงนี้นี่ ถ้าปล่อยไปตามประสาของมันแล้วล่ะก็ มันติดนิสัยไร้สาระ ไม่รู้มันไปจดไปจำอะไรที่ไม่เป็นสาระมามากมาย มันอยู่มาหลายๆ สิปปี ถ้าเอาไปเทียบกับธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วจึงจะรู้ว่าอยู่แบบไม่มีสาระเอาซะเลย ส่วนมากไหลไปตามกิเลส อยากนู่นอยากนี่ แต่ละอย่างที่อยากไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่หรอก

...

อยากกินอยากนอนอยากได้นั่นได้นี่ แต่ละอย่างที่ อยากได้ของชั่วคราวทั้งนั้น ไม่ใช่ของแน่นหนาถาวรอะไร เอามาแลกเป็นบุญเป็นกุศลไม่ได้เลย อยากได้ถั่วได้ข้าว ทั้งถั่วทั้งข้าวทิ้งไว้ก็เน่าหาใช่จะคงทนถาวรก็ไม่ใช่ แต่ก็นั่นแหละแย่งถั่วแย่งงากัน ตรวจตามธรรมะนะไม่ใช่ปรักปรำหรอก แต่ตรวจตามที่ว่าเป็นจริงว่า คุณค่าราคาจริงสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เรามายอมแลกกันกับคุณงามความดีทั้งหลาย มันแลกกันไม่ได้

...

เวลาจริงๆ ก็มีค่า เราเสียเวลาให้กับสิ่งที่มันมีค่าหรือไม่มีค่า ถ้าโดยตัวเราเองจะไม่รู้ได้ ต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า (พระธรรม) จึงได้รู้ว่าที่เราถูกอบรมสั่งสอนให้ไขว่คว้าหามา ไปเทียบคุณค่ากับภพกับภูมิทั้งหลาย ไปเปรียบกับเทวสมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ ไม่ได้เลย

...

แม้ได้เสื้อได้ผ้าสวยๆ งามๆ เครื่องประดับที่แพงๆ ใส่ขึ้นสวรรค์ก็ไม่ได้ ถึงแม้ว่าถ้าเอาไปได้เขาบอก ถ้าเทียบกับของเทวสมบัติทั้งปวงก็เทียบไม่ติด ของเขางดงามกว่าประเสริฐกว่า แล้วที่ประเสริฐกว่างดงามกว่า ก็เพราะด้วยการทำคุณงามความดีเอาไว้ ในสมัยเป็นมนุษย์นี่แหละ ไขว่คว้าหาบุญหากุศล

...

อาจจะเกิดเป็นคนจนก็ได้ หรือเป็นคนธรรมดากลางๆ ก็ได้ แต่ว่ากายกรรม การกระทำทางกายก็สำรวม วจีกรรม คำพูดคำจาก็ไม่เสียดแทงใคร ไม่หยาบคายไม่ลามก ไม่เป็นเท็จ ไม่ตลกคะนอง คนจนก็ทำได้ คนจนไม่จำเป็นต้องพูดเท็จหรอก ไม่จำเป็นต้องพูดหยาบคาย พูดเจียมเนื้อเจียมตัวเสียอีกกลับดี ถ่อมตน เป็นมงคลชีวิต

...

คนที่รู้จักถ่อมตนเป็นมงคลชีวิต พระก็ถ่อมตน ชีก็ต้องถ่อมตน เพศใครเพศมัน แต่ละเพศก็ต้องมีการถ่อมตน อย่าเอาเพศของตนเองไปข่มผู้อื่นไปข่มเพศอื่น ไม่ใช่มีเอาไว้ข่ม สมณะเพศจะเหนือกว่าฆราวาสญาติโยม ถ้าคิดอย่างนั้นก็จะเป็นมิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด) ข่มผู้อื่นด้วยเพศของความเป็นสมณะของการเป็นนักบวช ว่ามีบุญเอาเลิศเลอมากมาย คิดไปคิดมาเหมือนตัวเองจะไม่ใช่มาจากคนจากมนุษย์อย่างนั้นแหละ มันก็จะผิดไปถ้าคิดเช่นนั้น จึงว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด)

...

เราทั้งหลายทั้งปวงก็คลอดมาจากครรภ์ของมาตุคามด้วยกันทั้งนั้น นั่นแหละนี่คือการกด หรือว่าถ่อมตน หรือข่มตัวเองไว้ อย่าข่มคนอื่นเลย ข่มตัวเองน่ะดีข่มผู้อื่นชั่ว

...

ทางจิตทางใจนี่แหละ คือการรู้จักนอบน้อมถ่อมตน ข่มจิตข่มใจ ไม่เกี่ยวกับฐานะว่าจนว่ารวย มียศหรือไม่มียศไม่เกี่ยวกัน ใครก็ตามที่กระทำอยู่ซึ่งความสำรวมกาย วาจา และจิตใจเหล่านี้ หลังจากแตกกายทำลายขันธ์ เขาย่อมเข้าไปเป็นหมู่ของพวกเทพเทวดา ด้วยฝึกละอายฝึกเกรงกลัวต่อบาปต่อกรรมทั้งหลายไปแล้ว ต้องฝึกนะ ถ้าไม่ฝึกมันถ่อมตัวไม่เป็นหรอก จะชูเขี้ยวชูงาอยู่อย่างนั้น มักจะงัดอะไรของตัวเองที่ว่าดี ออกมาอวด เรียกว่าอวดดี

...

ศีลสวยก็จะอวดศีลกลับกลายเป็นชั่วไปเลย อวดหลงตนว่าศีลสวยศีลงามกว่าคนอื่นกว่ารูปอื่น ยังผิดเลย นั่นแหละนิสัยที่ถือดีอยู่นั่นแหละ ที่อวดดีอยู่นั่นแหละมันกั้นตัวเอง กั้นมรรคผลของตัวเอง ถ้าอยากจะรู้ว่าเรานี้มีมรรคมีผลไหม ก็ดูย่อมจะรู้เอง

...

แต่บางทีก็มีนะที่ไม่รู้ ไม่มีปัญญา (ไม่รู้คือไม่มีปัญญา) ว่าตรวจจากอะไรจึงจะรู้ว่าเรามีคุณธรรมหรือไม่มี แม้กระทั่งสิ่งที่จะนำมาตรวจสอบก็ไม่รู้ ยังเข้าใจผิดว่าจะให้ผู้อื่นดูตัวเองหน่อยว่าได้ขั้นไหนชั้นใด แต่จริงๆ นั้นให้รู้เครื่องตรวจเถอะ เราข่มใครด้วยศีลไหม ข่มใครด้วยข้อวัตรข้อปฏิบัติไหม ถึงแม้เราจะรู้ว่ามีผู้ที่ประพฤติย่อหย่อนเลอะเทอะ เราก็ได้แค่รู้ แต่เราไม่เคยเอาความที่เราดีกว่าไปข่ม ต้องคิดอย่างนี้

...

เราก็ย่อมรู้ว่าเราดีกว่า นั่นแสดงว่าเราไปข่มคนอื่น ไม่ใช่ ด้วยความเป็นจริงเขามีชีวิตอยู่ด้วยการทุศีล ฉันไม่ผิดศีลตรงนี้ ในข้อนี้ฉันดีกว่าเขา ฉันคิดอย่างนี้ถือว่าข่มไหม ไม่ใช่ข่ม รู้ต่างหาก รู้ดี รู้ถูก รู้ชั่ว คือรู้ผิด แต่ในจิตในใจนี้คิดว่าข่มคือมาผยองมาลำพองว่าเหนือเขาอันนั้นต่างหาก มันไปผิดตรงความคะนองในจิต แต่ตัวรู้ต้องรู้ ว่าคนนี้บาป คนนี้บุญ คนนี้ดี คนนี้ชั่ว รู้

...

รู้แล้วละ ง่ายนะรู้แล้วละ รู้แล้วไม่ต้องไปทะเลาะ ละก็คือไม่ให้ไปทะเลาะ รู้แล้วจะไปว่าเขาดีไหม สงสาร ถ้าไปว่ามันก็จะอายหรือถ้าไม่อายก็จะเกิดวิวาทะกันเปล่าๆ เพราะดูแล้วคนอย่างนี้จมูกรั้น ฝีปากเชิดๆ เป็นลักษณะของคนชอบตั้งวิวาทะ ไม่ฟังใครหรอก อย่างนี้ไม่ได้ ทะเลาะแพ้มัน ถ้ามีวิชาดูลักษณะบุรุษลักษณะมนุษย์ได้ก็จะเป็นประโยชน์อยู่นะ แต่ก็ไม่ใช่จะต้องไปติดใจมันหรอกตรงนั้น ถ้าไม่รู้ก็ปล่อยไป แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละ รู้แล้วละ อ้าวแล้วจะรู้ทำไมว่ามันผิดมันถูก รู้ผิดก็เพื่อจะได้เตือนมัน จะได้สั่งสอนมัน จะได้ว่ามันตำหนิมัน

...

ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าไม่ให้เรารู้แล้วเพื่อไปตำหนิมันถูก ประจานมันถูก ไม่ใช่ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อประจานใคร เพื่อดูถูกใคร ประจานตัวเองดีกว่า ดูถูกตัวเองดีกว่า ดูถูกตัวเองให้มันเกิดมรรคผล ประจานตัวเองให้มันได้ขยันหมั่นเพียรที่จะสร้างมรรคสร้างผล ถ้าทุกคนต่างก็มีคติเดียวกัน มันก็ไม่เกิดวิวาทะ ไม่วิวาท เพราะต่างคนก็ต่างรู้แล้วก็ละ …

บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑