เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง คนอื่นทำดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนที่เราเกลียด
มีคนทำบุญตามโอกาส พอมนุษย์ได้ยินข่าวเหล่านี้ ทำให้จิตใจมันไม่แห้งผากนะ ทำให้จิตใจมันชุ่มชื้นได้บ้างนะ แต่ถ้าใครฟังแล้วไม่ได้ชุ่มชื้นเลยนี่ก็น่าสงสารมากอยู่อีกเหมือนกันนะ เฮ้ย ไม่ดีใจเลยเหรอ กลับตรงกันข้ามกัน ทำบุญเอาหน้าม้าง โอ้ ถ้าคิดอย่างนั้นด้วย คิดใหม่นะ คิดใหม่เหอะ คิดผิด ถึงให้คิดใหม่ ให้โอกาส อย่าปล่อยให้ตายไปซะก่อนเชียวนะ คิดใหม่เหอะ ถ้าปล่อยให้ตายไปกับความคิดชนิดนั้นนี่โทษมหันต์เลยนะ
...
ผิดฐานอะไรหรือ
ผิดฐานประทุษร้ายตัวเอง ด้วยการทำจิตตัวเองให้เศร้าหมอง โดยใช่เหตุเลย การเกิดมาบนโลกมนุษย์นี่ ถ้าเห็นคนทำคุณงามความดีให้พลอยยินดี
...
แล้วนั่นแหละ ที่เขาให้เกิดมาบนโลกมนุษย์ก็เพราะว่า คนที่ทำบุญคุณงามความดีนี่ มีให้เห็นอยู่โดยทั่วๆ ไป บ่อยๆ ถึงแม้ว่าเราไม่ได้ทำเองแต่คนอื่นได้ทำเนี่ย ก็เพื่อจะให้เราพลอยยินดี ถ้าไปเกิดโลกอื่น แล้วจะไม่ค่อยได้เห็นใครทำคุณงามความดี เช่นเราไปเกิดในโลกของเดรัจฉานอย่างนี้ แล้วจะไม่ค่อยได้เห็นใครทำคุณงามความดีชนิดอย่างนี้หรอก เพราะมันมีแต่กิน นอน สืบพันธุ์ มันจะทำทาน มันจะสมาทานศีล มันจะบวชประพฤติธรรม ไม่ได้เห็นภาพเหล่านั้นหรอก เดรัจฉานภูมิน่ะ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
...
การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เขาให้เกิดที่มนุษย์นี่เพื่อจะเห็นภาพดีๆ บ้าง แม้ไม่ได้ทำเองก็ยังได้ประโยชน์จากการที่ได้เห็นภาพดีๆ ได้ยินได้ฟังข่าวดีๆ แล้วเราพลอยยินดีที่ได้มีเพื่อนร่วมโลก มนุษย์ร่วมชาติ ยิ่งใกล้ตัวมาใหญ่ด้วยว่าเป็นญาติธรรมกันเอง หรือเป็นคนที่เรารู้จักอีกด้วย โอ้โฮ ยิ่งใกล้ใหญ่ แล้วพลอยยินดีกับคนดีเหล่านี้นี่ จิตใจเรามันจะไม่แห้งผากไง
...
แม้ไม่ได้ทำเองก็พลอยอนุโมทนากับคนอื่นก็ทำให้ชุ่มชื้น พอจะแห้งจะแห้งเราไม่ได้มีโอกาสได้ทำ เห็นคนอื่นทำอีกแล้วก็ชุ่มชื้นภาพเหล่านี้เสียงประกาศเหล่านี้ มันคือเครื่องมือที่จะชุบชโลมจิตใจของเราให้ชุ่มชื้น แต่ถ้ากลับมองไปเป็นอิจฉาริษยาไปเสียนี่ ถึงว่าเสียหายมาก มากเลย แม้คิดก็ยังไม่เป็น เสียหายมาก
...
ไม่สมคุณค่ากับการมาเกิดแล้วได้เห็นคุณงามความดีที่โลกใบนี้เลย เพราะไม่จำเป็นต้องทำเองทุกเรื่องนะ มันดีถึงขนาดที่ว่าเห็นคนอื่นทำ แล้วพลอยยินดีก็ยังได้ด้วยเนี่ย ถือว่ามันไม่ธรรมดาแล้วนะโลกใบนี้
...
เคยมองในแง่นี้ไหม ?
ถ้าไม่เคยฟังธรรมก็ไม่เคยมองหรอก บางทีนั่นแหละคนที่เราเกลียดชังเขาด้วยซ้ำไป ที่เป็นผู้ทำความดี ได้ยินชื่อคนอื่นเราเฉยๆ ได้ยินชื่อคนที่เราเกลียดชังทำดี เราก็ยังไม่ให้โอกาส ไม่ตัดสินว่ามันเป็นคนดี แท้ที่จริงควรเป็นอย่างไร
...
โอ้ ยิ่งถ้าเป็นคนที่เราเกลียด เราเคยเกลียด เราเคยไม่ชอบ แต่เมื่อเขาทำดีแล้ว อ่ะ เป็นโอกาสที่เราจะถอดถอนความรังเกียจนั้นล่ะ ในเมื่อแกมาทำดีแล้ว อ่ะฉันอภัยให้ ฉันอโหสิกรรมให้แก ฉันเลิกเกลียดแกตั้งแต่นี้ไป เออ ต้องงั้นสิ ต้องอย่างนั้น งั้นประโยคที่ว่า ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบนี่ อย่าให้หลุดออกมาจากปากเราเน้อ แย่อย่างยิ่งเลยว่างั้นเถอะ ถ้าใครไปยึดไอ้ประโยคนี้ แหมมันก็พูดช่างคล้องจองซะด้วยสิ มันน่าจำดี
...
ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ ดูเหมือนเป็นคนจิตใจแข็งแกร่ง เหี้ยม คนจริง ว่างั้นเถอะ จริงชนิดนี้ไม่พ้นนรก อย่าจริงเล้ย สู้เป็นคนตาขาวดีกว่านะ งั้นประโยคนี้ อย่าจำ อย่าจำเอามาใช้ ทิ้งไปเสีย ลืมไปเสียเถอะ ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้อย่างยิ่งเลย คนชนิดนั้น คนที่เอาคตินั้นมานี่ ห่างไกลสวรรค์ ไม่เอา ไม่เอา
หลวงพ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต
สำนักวิปัสสนาป่ากล้วย อุตรดิตถ์
วันที่ 4 ธันวาคม 2564