เครื่องผูก ที่ไม่ใช่ใครจับผูก แต่เป็นฉันที่ยื่นมือยื่นขายื่นคอไปให้ผูกให้มัดเองเลย
เครื่องพันธนาการที่ชื่อว่าโซ่ว่าเชือก ตายแล้วมันก็จบมันไม่ได้ตามไปผูก แต่จิตวิญญาณให้ติดอกติดใจอยู่ในกามสุขทั้งหลายนี่แหละ มันผูกไปข้ามภพข้ามชาติ พระศาสดาก็เลยเอาอดีตตรงนี้มาแสดงให้ภิกษุทั้งหลายได้ทราบ ภิกษุที่อยู่ในที่นั้นได้ฟังก็บรรลุเป็นโสดาบันบ้าง สกทาคามีบ้าง อนาคามีบ้าง อรหัตผลบ้าง ท่านฟังแล้วท่านโน้มตามกันนั้นเองนั่นแหละ
....
โอปะนะยิโก โน้มจิตตามพระธรรมะคำสอนแล้วจิตมันก็หลุดจากเครื่องพันธนาการ หลุดจากความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง พอฟังแล้วก็จริงเน้อ จริงเน้อ จริงเน้อ จริงเน้อ เป็นจิตที่มีบุญก็หลุด หลุดจากพันธนาการเหล่านั้น บรรลุเป็นอรหันต์ ถึงยังไม่ถึงอรหันต์ก็เป็นอริยบุคคลล่ะ ด้วยธรรมะบทสั้นๆ เหล่านี้ อย่าไปประมาทนะ
...
ถึงบอกอย่าไปคิดว่าเป็นนิทานนิยายที่แต่งที่ประพันธ์ขึ้น แต่ท่านเอาชีวิตจริงๆความผูกพันที่มันมีอยู่จริงๆ ของมนุษย์ที่ถูกผูกพันโดยเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึก ถ้าไม่ได้เอามานึกมาคิดนี่ มันยินดีจะให้ผูกนั่นแหละ ดีใจนะที่มีเครื่องผูกเหล่านี้เกิดขึ้น มันกลับเป็นอย่างนั้น ดีใจที่ได้ภรรยาดีใจที่มีบุตร ดีใจที่ได้ทั้งบุตรทั้งธิดา เห็นไหมนั่นแหละเท่ากับ เหมือนกับยื่นมือยื่นขาไปให้เขาผูกด้วยความเต็มอกเต็มใจ ถูกผูกแล้วก็นั่งหัวเราะนั่งดีใจอยู่ เปรียบเสมือนอย่างนั้นเชียวล่ะ
...
หนักยิ่งกว่าโซ่กว่าตรวนที่พระราชาผูกโจรเอาไว้ไม่รู้กี่เท่า โจรเสียอีกยังเศร้าสลดอยากจะหลุดจะหนีจะดิ้น แต่มนุษย์ทั้งหลาย ไม่ได้อยู่ในเชือกในโซ่ในตรวน แต่เครื่องพันธนาการนั้นแนบแน่น มั่นคง ยากที่จะผุจะพังจะหลุดออกไปได้ ด้วยว่าเจ้าตัวยินดีเองเสียอีก อยากให้ผูกจังเลย เมื่อไหร่จะได้ผูกเนาะ ถ้าปัญญายังไม่ถึง มันก็จะเป็นความคิดแบบนั้น
...
ไม่ใช่ใครจับผูกหรอกฉันยื่นมือยื่นขายื่นคอไปให้ผูกให้มัดเองเลย ขวนขวายเลย ผูกฉันหน่อยมัดฉันหน่อย ผูกอีกมัดอีกว่างั้นเถอะ มีแล้วก็อยากจะมีอีก มีมากๆ อีก มีแล้วก็นั่นแหละจะต้องคอยดูแลคอยรักษา
...
เมื่อพลัดพรากจากไปไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ก็ดีหรือบุคคลก็ดี ปริเทวนาการ เสียอกเสียใจที่เครื่องพันธนาการเหล่านั้นหลุดไปเสียได้ ไม่น่าหลุดเล้ย ไม่น่าพลัดพรากเลย น่ะเห็นไหม อยากจะให้ผูกจนไม่มีวันจบวันตายเลยนั่นแหละ จะถูกใจที่สุดเลย หมดโอกาสแล้วที่จะนิพพาน
...
ทำไมมันจึงคิดกลับกันซะอย่างนั้นน่ะ ปัญญาแบบพุทธะมันยังไม่เกิด จึงแสวงหาเครื่องพันธนาการอยู่ชาติแล้วชาติเล่า มันคืออย่างนั้น ....
หลวงพ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต
สำนักวิปัสสนาป่ากล้วย อุตรดิตถ์
10 มิถุนายน 2558