โถแกนี่ ดื้อด้านปานนี้เชียวหรือ สมควรที่เกิดมานับชาติไม่ถ้วนน่ะ
ถึงเวลาปฏิบัติธรรมกรรมฐานร่วมกัน และก็ขอขมาพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในฐานะที่เรากระทำผิดด้วยด้อยสติปัญญา แต่ก็ไม่ปล่อยให้สิ่งที่มันผิดๆ นั้นค้างคาใจอยู่ หรือว่าแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ นิสัยโมเมจะไม่มี ก็เลยจะยินดีในการที่จะขอโทษ เพื่อจะได้ระมัดระวังตนเองให้ยิ่งขึ้น และแท้ที่จริงนั้นด้วยตัวเราเองกระทำแต่เพียงผู้เดียวนั่นแหละอยู่เสมอ ไม่ใช่จะมารอทำตอนรวมกันหรอกนะ
...
พอทำผิดปุ๊ปนิสัยขอโทษมันจะมาก่อนเลย นิสัยตำหนิตัวเอง เอาอีกแล้วเรา จะอย่างนี้เลย โอ้อะไรกันเนี่ยเรา โอ้เลย แค่ช่วงเช้านี่สองเที่ยวแล้วนะ วันนี้สองเที่ยวแล้วนะ มันมีการโมโหตัวเองนะ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมมันคงไม่โมโหตัวเองหรอก แต่นี้พอปฏิบัติธรรมแล้วมันจะเกลียดตัวเองที่ผิดซ้ำซาก ผิดจำเจ ก็เลยไม่ค่อยไปสนใจคนอื่นหรอกตอนนี้
...
คนอื่นซะอีกที่เขาทำผิดทำพลาด ไม่เป็นโทษแก่ใจเราเองเลย เราทำผิดเองนี่สิ มันโทษจิตใจตัวเอง โถแกนี่ ดื้อด้านปานนี้เชียวหรือ สมควรที่เกิดมานับชาติไม่ถ้วนน่ะ มันซ้ำจริงๆ นะ ถ้านิสัยอย่างนี้เกิดขึ้นกับใครก็ จะได้อุ่นใจว่ามีเพื่อนเน้อ หลวงพ่อรูปหนึ่งล่ะอย่างน้อย ก็ยังคิดนะ อะไร บวชแล้วมานั่งโกรธตัวเองเกลียดตัวเองอยู่ในป่าในเขา ทั้งที่ไม่มีใครนะ โอ้ อยู่ในเมือง อยู่กับบ้านกับเมืองไม่ได้บวช โกรธคนนั้น เกลียดคนนี้ ชอบบ้างเกลียดบ้าง
...
เอ๊า หนีจากอย่างนั้นมาอยู่แต่เพียงผู้เดียว ในป่าในดงไม่รู้จะเกลียดใครมั้งนะ เลยเกลียดตัวเอง เออหรือว่าอันนี้ ที่ท่านให้ไปอยู่คนเดียวเนี่ย ผิดถูกมันจะได้อยู่กับแกคนเดียวเลย
...
อือ มันจะได้เห็นตัวเองชัดขึ้น เหตุที่ให้ปลีก ให้วิเวก ให้เข้ากรรมฐานน่ะ เพื่อจะเห็นตัวเองชัดขึ้น ก็เลยเข้าใจว่ามันคือ อุบายอย่างหนึ่งที่จะให้เราเห็นธาตุแท้ของตัวเองจริงๆ
...
ถ้ามันเกลียดตัวเองในกรณีที่ทำผิดนี่ ถูกแล้ว นิสัยไม่ลำเอียงมันเกิดขึ้นแล้วล่ะ มันไม่ยกเว้น ไม่อนุโลม ไม่ถือว่าเล็กน้อย
...
นี้พอไปนานๆ เข้า นานเข้า เทียบ จริงๆ แล้วเกลียดคนอื่นนี่ยังน้อยกว่าเกลียดตัวเองอีกน่ะ ความรุนแรงนี่ ไอ้ รังเกียจนิสัยที่ไม่ดีของตัวเองนี่ชัดขึ้น ชัดขึ้น
...
เห็น เห็นตัวต่างๆ ที่เรียกชื่อว่ากิเลส มีทั้งนั้น แกมีทั้งนั้นเลย มายาสาไถย อุปนาหะ ถัมภะ ดื้อ หลงตัวหลงตน กูเก่งอย่างโน้นกูเก่งอย่างนี้ เออ เป็นมาตั้งแต่เด็กแต่เล็ก สอบได้ที่หนึ่งอู้ฮู้ดีใจ กูเก่งกว่าใครเลยในห้อง นั่นก็ใช่มันพอกมาตั้งแต่อย่างนั้น ใช่หมด กิเลสแบบเด็ก กิเลสพอโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
...
ก็เลย เห็นคุณของการวิเวก ถ้าแกไม่มาอยู่อย่างนี้ แกจะคิดถึงเรื่องอย่างนี้หรือเปล่าล่ะเนี่ย คงไม่มีเวลา ถ้าเป็นกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ก็ไปแล้ว นั่งรื่นเริงบันเทิงฟังเพลงอยู่ตรงไหนแล้วป่านนี้ จะมีเวลาเห็นตัวเองได้ไงล่ะ
...
งั้นใช้หนี้ให้แล้ว ให้เวลากับตัวเองล้วนๆ เลย โลกไม่มาแย่งเวลาเลย เอ๊า ชดเชยกันเอานะ นานเข้ามันก็ลืม ลืมจริงๆ ลืมนิสัยโลก พอลืมปุ๊ปมานั่งนึก เอ๊ะ ทำไปได้ไง มันเป็นไปถึงขนาดนั้น มันคิดได้อย่างไงของมัน อัศจรรย์กับนิสัยตัวเอง พอพิจารณาแล้วมันทำได้หมดแหละ แล้วแต่เจ้าของจะฝึก มันใกล้ชิดกับประเพณีแบบไหน กับสังคมแบบไหน มันก็เป็นได้หมด ขอให้มันอยู่ใกล้เถอะ
หลวงพ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต
สำนักวิปัสสนาป่ากล้วย อุตรดิตถ์
วันที่ 20 มิถุนายน 2564