คิดเป็น เห็นธรรม

คิดเป็น เห็นธรรม คิดเป็น เห็นธรรม

ไม่ต้องไปกล่าวโทษหาเหตุอื่นๆ ของปัจจุบันนี้เลย คำตอบมีคำเดียว คือ กฏแห่งกรรม

  • 2024,Mar 29
  • 3247

ถ้าใครเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใช้ อโหสิกรรมให้กันได้ทันที หยุดการจองเวร หยุดการอาฆาตได้ทันที ถ้าธรรมะนั้นมีอยู่จริงในจิตในดวงใจ รู้แล้วใช่ไหมว่าเป็นบาปเป็นฝ่ายอกุศลฝ่ายชั่วใช่ไหม ใช่ ถ้าอย่างนั้นฉันเลิก เราเลิกเป็นศัตรูกัน เราเลิกขุ่นมัวต่อกัน เรามาทำแต่ความดีกันเถอะ

...

วิธีการของพุทธะคืออย่างนั้น เหมือนหลวงปู่องคุลีมาล ท่านไปฆ่าคนเป็นร้อยๆ แต่ท่านบอกเราจะไม่เป็นศัตรูกับใครแล้ว ใครที่อาฆาตจองเวรเราอยู่อโหสิกรรมให้เราเถอะ เราจะไม่ทำร้ายใครๆ แล้ว ท่านยังไม่รู้เลยว่าใครจะอภัยให้ท่านบ้าง แต่ท่านเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราจะไม่อาฆาตพยาบาทใครแล้ว เราจะไม่หยิบอาวุธ ก้อนดิน ท่อนไม้ ขึ้นโต้ตอบกับใครแล้ว แล้วถ้าเขาทุบเขาตีเธอตายล่ะอสิงสกะ (ชื่อเดิมของหลวงปู่องคุลีมาล) ข้าพระองค์ก็จะยอม

...

เหตุใดเธอจึงยอม เพราะคิดว่าเราไปทำร้ายผู้อื่นไว้ ญาติของเขาไว้ ก็คงจะได้ใช้กรรมกันไป ขอให้หมดกรรมกันไปแต่ชาตินี้ก็แล้วกัน ข้าพระองค์จะทนอยู่ในจิตในใจอย่างนั้น เออ อย่างนั้นก็พยายามนะ มีความพยายามระงับความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่มากระทบ เดี๋ยวเธอออกไปบิณฑบาตญาติของเขาทั้งหลายที่ถูกเธอเข่นฆ่าตายไป เขาจะต้องกร่นด่าเธอ เขาอาจจะคว้าก้อนดิน คว้าท่อนไม้ ขว้างปาเธอ เธอไม่ต้องไปก็ได้ เธอรอฉันอยู่ที่วัดนี่แหละ (วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี) เดี๋ยวเราได้มา เราได้มาเยอะในแต่ละวัน เธอก็ค่อยฉัน ปูอาสนะตั้งน้ำไว้รอที่วัดนี่แหละ ไม่เป็นไรขอรับ ข้าพระองค์รับได้ เห็นไหมคนมีความมุ่งมั่น อย่างนั้นก็ไปเถอะ ไปบิณฑบาต

...

ปรากฏว่าพระศาสดากลับมาแล้ว แต่หลวงปู่องคุลีมายังไม่กลับ ท่านก็รออยู่ ท่านทราบแล้วเดี๋ยวเถอะจะต้องรับกรรมใดกรรมหนึ่งกลับมา โอ้เถลิกเปิกปอกหมดเลย ก้อนดินบ้างท่อนไม้บ้างล่ะ คนที่จำได้ ส่วนพวกที่จำไม่ได้ก็ใส่บาตร พวกที่จำได้อีกทำดีเป็นใส่บาตร เอาดินเอาทรายใส่ไปในบาตร ข้าวแกงที่ได้มากินไม่ได้หรอก จัมปาตี (แป้งปิ้ง) เปื้อนทรายเปื้อนดินหมด ก็ถือว่าอย่างนั้นแหละ พระศาสนามารอดัก ไหนอสิงสกะขอดูหน่อย เปิดมาโอ้ย กินได้อย่างไรล่ะมีแต่กรวดแต่ดิน พอเป็นไปอยู่นะ ขอรับ ไปล้างเนื้อล้างตัว มาฉันนี่

...

นี่อดทนอดกลั้น ท่านยอมยุติที่ท่าน ยอมเชื่อในกฎแห่งกรรม เราฆ่าญาติของเขาด้วยซ้ำ ตายเลย ที่เขาทำแค่เพียงเท่านี้ แค่เพียงเราเจ็บยังไม่ถึงขั้นตาย อโหสิกรรมให้เราด้วยนะ เราเต็มใจใช้ให้พวกท่าน เชื่อในกฎแห่งกรรมถึงทนได้ การที่จะทนได้ก็ต้องมีกุศโลบาย มีปัญญาที่จะคิดนั่นแหละ ถ้าอยู่ๆ ไม่ผิดอะไร จะให้มันทนก็คงจะเถียง แต่นี่ท่านไม่เถียง ท่านเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เราทำชั่วไว้ ผลชั่วจึงมาปรากฏ

...

อย่าว่าแต่ชาติที่แล้วเลย นี่กรรมจากชาตินี้เลย แล้วชาติที่แล้วๆ อีกล่ะ ถ้าเอามารวมกันจะยิ่งหนักยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำไป จะรวมหรือไม่รวมก็ตาม เราขอชดใช้กรรมทั้งหมดทั้งสิ้นจะไม่ขอโต้ตอบเป็นศัตรูกับใครๆ ให้หมดเวรหมดกรรมกันในปัจจุบันชาตินี้ด้วยเถิด ขอให้มันสงบ ให้มันหยุด ร้อนรน ให้มันเย็น เสียในชาตินี้เลย (หมายถึง ท่านอธิษฐานขอสภาวะความสงบเย็น คือ ขอนิพพาน)

...

สิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นทำให้ท่านอดได้ทนได้คืออะไร ? คือปัญญา ช่างหากุศโลบาย ช่างหาอุบาย ช่างเอาธรรมะเอาความจริง มาระงับความโกรธ มาชี้ให้เห็นถึงโทษที่ตัวเองทำไว้ จนกระทั่งตัวเองยอมที่จะรับผลแห่งกรรมชั่ว คนที่ยังเถียงยังรั้นอยู่ ยังไม่ยอมใครยอมคนอยู่ แสดงว่ายังไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม จึงเห็นว่าตัวเองไม่ผิด ไม่ใช่เป็นฝ่ายผิด เราต่างหากเป็นฝ่ายที่ถูกจะยอมไม่ได้ คนถูกยอมก็แย่แล้ว ถ้าคิดอย่างนี้ก็แสดงว่ายังไม่ถึงธรรมะ ยังเข้าไม่ถึงพระธรรม ยังไม่ได้เอาพระธรรมมาใช้

...

ถ้าทุกคนเอาพระธรรมมาใช้ก็จะไม่มีใครเบียดเบียนใคร และที่เคยเบียดเบียนมาก็จะอโหสิกรรมซึ่งกันและกันไป เวรก็จะระงับไปด้วยการไม่จองเวร พระพุทธองค์ตรัสไว้ เราไม่เคยเห็นเวรระงับด้วยการจองเวรที่ไหนเลย ที่ไหนๆ ก็ตามเราไม่เคยเห็นเลยที่เวรระงับไปด้วยการจองเวร จริง เราเห็นแต่เวรทั้งหลายที่ระงับไปเพราะเลิกจองเวร ใครเลิกหรือ เราเลิก ตัวเรา เรานี่แหละ เราๆ ทั้งหลายนี่แหละเลิก ถ้าเขาไม่เลิกล่ะ เขาก็เลิก ถ้าเขารู้เขาก็ต้องเลิก เราๆ ทั้งหลายเลิกกัน

...

แต่ดีเสียอีก เลิกคนเดียวก็ยังได้ ตรงนี้ดี ถ้าต้องคู่กรณีตกลงเลิกแล้วจึงจะหมดได้นี่แย่เลยนะ แย่เลย แต่นี่ดีโอ้โห ยกมือท่วมหัวเลย เมื่อเข้าใจในธรรมะตรงนี้ ยกมือท่วมหัวจริงๆ อยู่ในป่าในดง โอ้โห ยอดเยี่ยมเลย เอาเหอะใครจะจองอย่างไรว่าไป ฉันขอยกเลิกล่ะเน้อ ฉันจะไม่จองเวรกับใครแล้ว เห็นในวิบากกรรมตัวเองว่าทำไปไปเดินอยู่ในป่าในดง โดดเดี่ยวเดียวดาย มันกรรมอะไร แกทำกรรมชั่วอะไร มองในปัจจุบันไม่เห็นเลย ทิ้งบ้านทิ้งเรือนมาเดินตีนเปล่าอยู่ในป่าในดง โกนหัวด้วยนะประจานตัวเอง โกนหัวห่มเหลืองขอเขากิน กรรมอะไรเนี่ย

...

พอพิจารณาถึงกฎแห่งกรรมทั้งหลาย อโหสิกรรม ขออโหสิกรรมจากจิตทั้งหลายทั้งปวง เอาเน้อ ถ้าเราเคยทำบาปทำชั่วอะไรกับใครไว้ก็ตาม โปรดรับรู้ด้วย ว่าสำนึกแล้ว ขณะนี้สำนึกแล้วระลึกได้แล้ว ถึงโทษแห่งกรรมชั่วนั้นๆ อโหสิกรรมให้เราด้วย อย่าจองเวรกับเราอีกต่อไปเลย ในที่สุดมันก็บอกแหละ ถึงแม้เธอจะจองเวร ก็จงจองไปฝ่ายเดียวเถอะ เธอไม่ต้องกลัวนะ ว่าเราจะจองตอบ อาฆาตตอบ เราพอแล้ว เราเข็ดแล้ว

...

อ่อ มันขอจริงๆ แล้วที่ขอจริงๆ ก็ไม่ได้มีพยานหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ที่เป็นมนุษย์เนี่ยนะ ไม่ต้องรอธูป รอเทียน รอบายศรีด้วย ในจิตในใจนั่นแหละ ขอจากจิตจากใจจริงๆ ทีนี้จะไปโกรธไปอาฆาตใคร ฮึ เหตุการณ์ในวันนั้นครั้งนั้น มันจำติดฝังแน่นอยู่ในใจ ว่าท่านทำไม่ได้หรอก แกอาฆาตไม่ได้ แกจองเวรไม่ได้ อย่างนั้นวันที่ผ่านๆ มานั้นแกประพฤติเล่นๆ เหรอ แกลั่นเล่นๆ หรือ สัจจะอธิษฐานทั้งหลายนั้น แกพูดเล่นๆ มาหมดเลยหรือ ไม่ใช่เป็นความจริงจากในจิตในใจที่แท้ของแกหรอกหรือ

...

แท้ แท้ก็ต้องโกรธไม่ได้ อาฆาตใครไม่ได้ทั้งสิ้น มันขึ้นมาอย่างนั้นจริงๆ ออกจากป่าเข้าบ้านเข้าเมืองมาได้สักเจ็ดแปดปี โอ้มันวัดกันจริงๆ วัดตบะเลย เขามาทุบแม่ตาย ดูสิ แกจะจองเวร จะอาฆาต จะโกรธอะไรไหม มันวัดเลย เอาของจริงมาวัดเลย ตายจริงเลย แม่จริงเลย อ่อ ไม่หายไปไหน สัจจะคำจริงที่ลั่นไป อ่อจริง เป็นของจริง สติมันตามทัน ก็เป็นกรรมของโยมแม่หนอ ที่เขาคงจะทำกันมาอย่างไงของเขาอย่างนั้น ดีแล้วที่มาตายในขณะที่ลูกเป็นพระ เอาไปเน้อบุญกุศลทั้งหมดทั้งสิ้น ดีนะที่เทศน์ให้ฟังแล้วก็ได้เข้าวัดประพฤติปฏิบัติธรรม

...

มันก็ไปลงตรงนั้น ลงจริงๆ ตรวจจริงๆ รู้ว่าตายปั๊ปมันคิดเลย อย่างไง แกว่าอย่างไง แกในที่นี้คือถามตัวเอง แกว่าอย่างไง มันก็เฉยอยู่นะ มันก็นิ่งอยู่ ทำไม ทุกคนต้องตายทั้งนั้นแหละ ไป เดี๋ยวไป ตอนนั้นอยู่บนดอยจอมแจ้ง เขายกจอมแจ้งให้ เพิ่งไปอยู่พรรษาแรก ปี พ.ศ. 2547

...

ธรรมะจริง ธรรมะแปลว่าความจริง สิ่งที่จริงเกิดขึ้น ทว่าจะสอบก็สอบจากของจริง ทว่าจะไม่ใช่สอบ ก็ตายจริง มันสงบได้ มันไม่หวั่นไหวได้เพราะปัญญา เราตรวจในทางธรรม เพราะปัญญามันมองเห็นความจริง ของทุกดวงจิตดวงวิญญาณมีวีรกรรมต่างๆ ทั้งหลายที่ทำกันเอาไว้โชกโชน จะมาโทษกันเฉพาะปัจจุบันชาติก็ไม่ได้ อดีตชาติมันมากกว่า จะมาโทษปัจจุบันชาติถ้าเราไม่ได้มาบวชเป็นพระ มาอยู่ป่าอยู่ดอยอย่างนี้ ถ้าอยู่ใกล้อยู่ชิดเหตุการณ์นี้ๆ ก็คงจะไม่เกิดไม่มี ฮึ คิดอย่างนั้นไม่ได้ ด้วยความเป็นจริงวันหนึ่งคืนหนึ่งจะอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้มัน ตามวิบากเห็นไหม แม้กระทั่งที่เราโกนหัวห่มเหลืองเข้าไปอยู่ในป่าในดง โดยไม่เจอผู้เจอคนใดๆ เลย นั่นเราก็ไม่ได้วางแผนมาก่อนในชีวิต ไม่มี ไม่เคยรู้ด้วยว่าตัวเองจะต้องไปทำอย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะต้องมาเป็นอย่างนี้

...

สิ่งทั้งหลายที่มันให้เป็นไป นั่นแหละกฎแห่งกรรม อ่อ ดังนั้นเอง พระศาสดาจึงให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เข้าให้ถึงธรรมะที่ชื่อว่ากฎแห่งกรรมนี้ มันสามารถที่จะเป็นปัญญาตอบทุกเรื่องได้ ตอบข้อสงสัย ตอบวิจิกิจฉาของทุกคนได้ ของตัวเอง ตัวเอง นั่นแหละ

...

ไม่ต้องไปกล่าวโทษหาเหตุอื่นๆ ของปัจจุบันนี้เลย ใครเนอะช่างทำได้ซึ่งคนแก่คนเฒ่าคนที่ไม่ได้มีความผิด อะไรอย่างนี้ ไม่ต้องไปหาเลย คำตอบมีคำเดียว เป็นกรรมที่แต่ละคนกระทำมา และบุคคลเหล่านั้นก็ต้องรับผลแห่งกรรมนั้นๆ ของตนไป จบ มันจะต้องเกิดขึ้นกับทุกคนอย่างนั้น เป็นแต่ว่าปัจจุบันชาตินี้ได้ทำคุณงามความดีไว้มากเพียงพอหรือไม่ ที่จะไม่ให้กฎแห่งกรรมทั้งหลายเลิกตามในชาติต่อๆ ไปเสียที ให้มันยุติกรรมเสียในปัจจุบันชาตินี้ คือ ให้มันนิพพาน

ฟังเสียงเทศน์ได้ที่นี่ค่ะ > https://youtu.be/xjJcPrWH4hY...

บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒