บนโลกใบนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ความจริงของมัน ธรรมะของมันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น อะไรที่เกิดมาแล้วเป็นสุขนี่ ไม่มีหรอก เพราะแม้การเกิดเองก็เป็นทุกข์ การที่มาได้เกิดอย่าคิดว่าสุขแล้วเรา ทุกข์ แม้การเกิดก็เป็นทุกข์ กว่าจะถึงเวลาตายก็ทุกข์ล้วนๆ
...
ตรวจดูสิตรงไหนสุข ? การได้กินการได้นอนก็เพราะเป็นทุกข์ถึงต้องกิน เพราะปวดเพราะเมื่อยเพราะล้าถึงต้องนอน แม้ท่านอนก็ยังเป็นทุกข์ กลิ้งซ้ายกลิ้งขวา หายใจไม่สะดวกกรนโครกคราก โครกคราก แม้กิริยาอาการที่นอนอยู่ก็เป็นทุกข์ หายใจไม่ออกกระสับกระส่าย
...
จริง จากคำสวดที่สวดมนต์เช้า ชาติปิ ทุกขา แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ ชะราปิ ทุกขา แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ มะระณัมปิ ทุกขัง แม้ความตายก็เป็นทุกข์ มองสิ่งทั้งหลายเห็นตามเป็นจริงคือเป็นทุกขา ผู้ใดเห็นทุกข์นั่นแหละมีปัญญาเห็นธรรม ถ้าดูผิวเผินเราอาจจะเถียงว่าที่สุขก็มี มีตรงไหนล่ะ ? ยกมาสิตรงไหนที่เรียกว่าสุข
...
วันนี้ถูกใจ ถูกใจเรื่องอะไรล่ะ ได้ฟังเพลงเพราะๆ ทำไมถึงไปฟังล่ะ เพราะเข้าใจว่าฟังแล้วจะเป็นสุข ถ้าไม่ได้ฟังแล้วจะเป็นทุกข์ ถ้าฟังแล้วเป็นอย่างไร ฟังเสียงสูงเสียงต่ำแค่นั้นสุขแล้วหรือ ตรวจอย่างละเอียด ตรวจด้วยเหตุผลที่ละเอียดที่แยบยลจริงๆ ไม่ตรวจแบบหยาบๆ แบบผิวเผิน ทำไมโลกนี้ถึงต้องมีเครื่องบันเทิง เพราะมันจะกลบเกลื่อนความทุกข์ มันจะหลอกให้เราน่าอยู่ น่าเป็น แม้คนที่มาเล่นมาร้องอยู่ก็ทำอยู่บนความทุกข์ ต้องไปฝึกไปเรียนมา โด เร มี ฟา ซอล ต้องจำให้แม่นอย่าผิด เล่นเหงื่อแตกเหงื่อแตน เหนื่อย คนร้องก็คอแหบคอแห้ง กิริยาอาการที่ออกมาเหมือนคนเสียสติ สิ้นสติ
...
จริง เมื่อก่อนไม่เห็นคิดอย่างนี้ เพราะยังไม่มีผู้ชี้แนะ ยังไม่รู้จัก พออย่างนี้ก็เลยเห็นคุณผู้ชี้แนะ เราจะรู้เองไม่ได้หรอกนะ อาศัยได้ฟังคำชี้แนะ ใครล่ะจะชี้แนะในทำนองนี้ ก็มีแต่พระพุทธเจ้า พ่อแม่ก็ไม่ได้ชี้แนะอย่างนี้ ในเมื่อไม่มีใครชี้แนะจึงไม่มีใครเห็นซึ่งความทุกข์ทั้งหลายที่แฝงอยู่ในชีวิตทุกขณะ แต่ไม่รู้ว่านั่นเป็นทุกข์ ถูกเขาหลอกว่านั่นคือสุข นั่นคือหนทางแก้ไขทุกข์
...
เฮ้ย คิดมาก รินน้ำใสๆ อุ่นๆ อุ่นไม่กินต้องให้เย็นเจี๊ยบ เพราะจิตใจมันร้อนอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมนุษย์ กินอะไรหรือดื่มอะไรไปต้องเย็นๆ หลอกอีกแล้ว หลอกว่านี่แหละชื่อว่าเย็นชื่อว่าเป็นสุข บอกว่าถ้าร้อนๆ อยู่มากินนี่หายร้อน มันร้อนอีกแล้ว กินอีก กินทีไรหายเมื่อนั้น แล้วเมื่อไหร่จะหายเด็ดขาดล่ะ ไม่มีหรอก กินจนแก่ตายจนกินไม่ได้ก็ยังไม่ถึงความเย็นที่แท้จริง เย็นปลอม อย่างนั้นแสดงว่าวิธีการแก้ไขความเย็นชนิดนี้ไม่ได้ผล ไม่ใช่การแก้ไขที่ถูกต้อง
...
การแก้ไขที่ถูกต้องคืออย่าให้มันร้อน อย่าให้จิตใจมันร้อน อย่าให้มันรน ทำไมถึงจะไม่ให้มีที่ร้อนที่รนล่ะ หาจิตหากายที่มันไม่มีความร้อนรนเบียดเบียนสิ ไม่ใช่จะมาแก้ด้วยการดื่มเย็นดื่มอุ่นอยู่อย่างนี้ แก้หนาวแก้ร้อนไม่ใช่ด้วยอาบน้ำไม่ใช่ด้วยห่มผ้าถือว่าฉลาดแล้ว ถ้าฉลาดจริงไม่ต้องแก้ไขด้วยผ้าห่ม ด้วยน้ำเย็น เพราะมันไม่มีร้อนไม่มีเย็นมาเบียดเบียนไม่มีความทุรนทุรายมาบีบคั้น สภาวะธรรมเช่นนั้นมีอยู่ ทำไม ? ไม่ไปเกิด
...
เมื่อเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วมาแก้ไขก็แก้ไขได้เฉพาะบนโลกใบนี้ แล้วเราต้องตาย เมื่อตายไปวิธีแก้ไขนี้มันเปลี่ยนหมดแล้ว เปลี่ยนประเพณีเปลี่ยนธรรมชาติ มันใช้ได้ประเดี๋ยวประด๋าวชั่วคราวแค่นั้นเอง เกิดอีกต้องแก้ไขอีก ไปอยู่ในบางภพบางภูมิแก้ไขไม่ได้เลย แม้รู้ว่าทุกข์ก็แก้ไขไม่ได้ ต้องรับทุกข์จนกว่าจะหมดเวลา สัตว์นรกนี่น่าสงสารไปแก้ไขในขณะที่เป็นสัตว์นรกอยู่ไม่ได้เลย ต้องรอจนกว่าจะหมดเวลาที่จะต้องไปตกในนรก ใครก็ช่วยไม่ได้ บุญที่คนอื่นอุทิศไปให้ก็รับไม่ได้ มีคนถามต่ออีก รับไม่ได้แล้วมันจะไปรออยู่ไหมที่เคยอุทิศให้ไป ไม่รอหรอก ไปรออะไรล่ะ พ้นจากตรงโน้นมาก็ต้องมาสร้างคุณงามความดีเอาเอง
...
แต่ถ้าเจ้าของทำเองถึงจะรอได้ในปรโลกเบื้องหน้า พ่อแม่อุทิศบุญไปให้ลูก ลูกตกนรกอยู่ ลูกตายก่อนพ่อก่อนแม่ เดี๋ยวนี้นิยมเป็นกันเยอะ มีลูกอย่าหวังเอาไว้เผาผีนะ ต้องเผามันอีกด้วย เอาเป็นว่ากรณีที่ลูกตายแล้วไปตกนรก พ่อแม่ยังเป็นอยู่ อุทิศบุญไปให้ ลูกได้รับไหม ถ้าตกนรกไม่ได้รับ ไปเป็นเดรัจฉานอยู่ไม่ได้รับ จะมีสิทธิ์ได้รับก็ต้องมีขอบเขตเป็นเปรตชนิดที่รับได้ (เปรตมี 13 ชนิด) ชนิดที่จะรับได้มีชนิดเดียว มีกฏมีกติกาของแต่ละภพภูมิ ไม่ใช่ไม่มีบันยะบันยัง ... เราให้ไปแล้วก็ต้องได้รับทั้งนั้นแหละ ตอบมั่วๆ ไม่ได้
บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒