คิดเป็น เห็นธรรม

คิดเป็น เห็นธรรม คิดเป็น เห็นธรรม

อย่าเป็นเหมือนคนที่ยืนหาบผลไม้อยู่เต็มกระจาด แต่ไม่ได้หยิบกิน

  • 2024,Apr 23
  • 2674


ความสุขอื่น ยิ่งกว่าการทำจิตให้สงบได้ ไม่มี พุทธพจน์ตรัสจากพระโอษฐ์ได้กล่าวไว้อย่างนี้ ความสุขจากอะไรก็ตาม จะสุขยิ่งไปกว่าการที่จิตดวงนี้มีความสงบ มีความนิ่ง ไม่มี สุขจากการได้พูดคุยกับคนที่เรารัก เราถูกใจ มันก็ไม่ใช่สงบ เพราะมันต้องพูดอยู่ เป็นสุขใจก็จริง แต่มันยังไม่ยิ่ง ไม่ใช่ที่สุด สุขจากการที่ได้ขบเคี้ยวในรสชาติที่ชอบ ก็ยังไม่ใช่สุขจริง สุขจากการที่ได้เสื้อผ้าตามที่ตนปรารถนา ก็ยังไม่ใช่สุขจริง ไม่ว่าจะอ้างอะไรขึ้นมาที่ว่ามันถูกใจเรา เรียกว่าทำให้เรามีความสุข ความสุขเหล่านั้นสู้กับการที่เราทำจิตของเราให้มันสงบอยู่ ให้ปราศจากความฟุ้งซ่านคือนึกคิด ปราศจากความอยาก ความต้องการ ที่มันจืด มันนิ่งอยู่ นั่นแหละถึงจะเป็นสุขจริงของมัน ถึงจะเป็นอาหารจิตที่แท้จริง

...

ไม่ใช่สุขจากได้เลื่อนยศ เพิ่มเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง แต่จิตมันไม่นิ่งไม่สงบ การได้เลื่อนการได้เพิ่มซึ่งลาภยศนั้นๆ ก็ไม่ใช่สุขจริง ตำแหน่งนั้นได้มาก็ยังมีทุกข์ ยศที่ได้มาก็ยังมีทุกข์ ทรัพย์สมบัติที่ครอบครองอยู่ ยิ่งมากก็ยิ่งเป็นห่วงเป็นทุกข์ สุขไม่จริง คำที่พระศาสดาตรัสเป็นพุทธพจน์ หรือเป็นคำที่ออกจากพระโอษฐ์ แต่ละคำจะไม่ไร้สาระ ถ้าฟังแล้วเราได้ใคร่ครวญคิดตามจึงจะเห็นชัดเจน ถ้าเพียงแต่จำเอาแต่สุภาษิตหรือพุทธพจน์นั้นไว้ เพื่อจะกล่าวให้มันคล่องปาก แล้วก็ว่า เออ คนนี้มีธรรมะ คนนี้ธรรมะ ธัมโม ทำไมล่ะ เขาจำสุภาษิตพุทธภาษิตได้เยอะ  อันนั้นก็ยังหรอก ยังไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้จำเอง งัดเอามากล่าวกันไป อวดภูมิอวดโวหารกันไป แต่ไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้เดินจงกรม ไม่ได้ละกิเลสอะไรลงไปหรอก ก็ไม่เกิดประโยชน์

...

ถึงมีสุภาษิตเหล่านั้นอยู่ก็ไม่ได้ทำเจ้าของเกิดความสุขขึ้นมาได้ นอกจากมีเอาไว้ข่มวาทะกับคนอื่นๆ เอาไว้อวดในคนอื่นๆ จะเกิดประโยชน์อะไร ท่านเรียกว่าใบลานเปล่า ธรรมะเปล่า สมุดเปล่า ทั้งที่มีข้อความตั้งเยอะแยะในสมุดนั้น ในใบลานนั้น  แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์แก่คนที่อ่านที่เรียน เพราะมันไม่ได้ทำให้ใจสงบ ไม่ได้ทำให้กิเลสระงับ จะไปจำไว้ทำไมตั้งมากตั้งมาย เหมือนคนที่ยืนหาบผลไม้อยู่เต็มกระจาด แต่ไม่ได้หยิบกินหรอก ใครผ่านไปมา โอ้โห กล้วยอะไรลูกงามเชียวเนอะ มะม่วงอะไรลูกใหญ่เชียวเนอะ ไม่ได้กินหรอกคนหาบอยู่น่ะ จะเอาไว้ให้คนชม จะเอาไว้ให้คนสรรเสริญเยินยอ แต่ก็ท่องอยู่นะ มะม่วงหวาน กล้วยหวานหอม รู้ รู้อาการทั้งหมดของมัน แต่ไม่ได้กินหรอก

...

เอาไว้โชว์ หาบเอาไว้โชว์ เที่ยวไปยืนตามทางสองแพร่งสามแพร่งบ้าง ตรงไหนที่มีคนเห็นเยอะๆ ก็จะโชว์นานหน่อย มากหน่อย บ่อยหน่อย เปรียบเหมือนพวกปริพาชก ผู้ที่มีลัทธิอื่นศาสนาอื่น เรียนคำถามคำตอบไว้ตั้งพันคำถามพันคำตอบ สามารถจะตอบให้คล่อง คนมักจะไม่ถามเกินกว่าพันคำถามนี้ ก็ตอบได้หมด แล้วก็ไปเที่ยวท้าโต้วาทะต่างบ้านต่างเมือง เพื่อจะได้รับฟังเสียงปรบมือบ้าง คำกล่าวสรรเสริญทั้งหลาย ว่าเป็นปราชญ์ เป็นบัณฑิต เป็นผู้ยอด ตะลอนไป ผลที่สุดก็ต้องเหนื่อย กับสิ่งที่ตนเองมีอยู่นั่นแหละ บุรุษผู้หาบกล้วย หาบมะม่วง ตนเองนั้นก็จะต้องหนักบ่าหนักกายอยู่ด้วยหาบนั่นแหละ กลับแพ้คนที่ไม่หาบเสียอีก ไม่มีมะม่วง ไม่ได้หาบกล้วย ไม่ต้องเดินไปโชว์ที่ไหน ไม่ต้องคอยไปอวดที่ใดๆ ก็บอกมีความรู้ เอาไว้เป็นพันธะ เป็นภาระแก่เจ้าของ ไม่ใช่มีเอาไว้เพื่อเป็นประโยชน์ ความรู้อย่างนั้นท่านเรียกว่า เปล่า ใบลานเปล่า ไม่เกิดประโยชน์กับเจ้าของ 

...

บุคคลผู้หนึ่งรู้อย่างเดียว รู้ความจริงอยู่อย่างเดียวว่า ให้ทำดี ให้ละชั่ว แล้วก็ทำดี ในเมื่อทำแต่ดี มันก็ละเองล่ะชั่ว ทำดีอย่างเดียว ก้มหน้าก้มตาทำแต่ความดีนั่นแหละ ร่ำเรียนอะไรก็ไม่ได้สูงไม่ได้ส่งอะไรหรอก อ่านก็ยังไม่ออก เขียนไม่เป็น แต่ฟังรู้เรื่อง รู้ว่าใครพูดไพเราะ รู้ว่าใครพูดหยาบคาย รู้ว่าใครพูดจริง พูดเท็จ รู้ว่าคำใดเป็นสาระ คำใดไร้สาระ ผู้ที่รู้อย่างนี้ รู้แม้เพียงรู้สิ่งเดียว ยังดีกว่า 


บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕