คิดเป็น เห็นธรรม

คิดเป็น เห็นธรรม คิดเป็น เห็นธรรม

ภัยที่น่ากลัวกว่าโรคภัย คือ การเวียนเกิดแล้วเกิดเล่า หาจุดจบ จุดหมายปลายทางไม่เจอ

  • 2024,Nov 23
  • 1394

ภัยที่น่ากลัวกว่าโรคภัย ก็คือการต้องเวียนว่ายตายเกิด การเวียนเกิดแล้วเกิดเล่า หาจุดจบจุดหมายปลายทางไม่เห็น อันนั้นน่ากลัวที่สุด คือกลัวจะไม่พ้นทุกข์ กลัวอดอยากยากจน กลัวไม่ได้เสื้อได้กางเกง กลัวไม่มีสร้อยไม่มีแหวน กลัวเหล่านี้นี่น้อยนัก ภัยที่น่ากลัวคือภัยวัฏสงสาร ภัยที่ต้องถูกจับไปเกิดตรงนั้นตรงนี้ไม่มีหยุดหย่อน ชาติแล้วชาติเล่านับชาติไม่ถ้วน โดยไม่รู้ชะตาตัวเองเลยว่าชาติหน้าเราจะเป็นอย่างไร

...

ดีนะที่มันไม่จำได้ว่าชาติที่แล้วเป็นอย่างไรอีก ถ้ามันจำชาติที่แล้วๆ ได้นี่คงจะทุกข์มากกว่านี้ เพราะชาติที่แล้วๆ ที่มันรับทุกข์คงจะเยอะ แต่ละชาติที่ถูกทุกข์บีบคั้น ก็เลยว่าดีที่มันให้จำไม่ได้ นี่ถึงว่าถ้าจำได้ไม่รู้จะหนีอย่างไรอีกแหละ ที่เราจะพอพ้นจากการ ถูกทุกข์รุมเร้าบีบคั้นอย่างนั้นได้อย่างไร ชาตินี้เราจะเป็นเหมือนชาติที่แล้วๆ โน้นอีกไหม เราจะต้องตายเหมือนชาติที่แล้วๆ นั้นอีกหรือ หาทางออกก็ไม่เจอยิ่งทุกข์ใหญ่ ไม่รู้วิธีที่จะแก้ไขอย่างไร ยิ่งทุกข์หนักเลยล่ะ ดังนั้นจึงว่าพระพุทธเจ้ามาเฉลย มาตอบ มาบอกวิธีการที่จะให้พ้นจากการถูกความทุกข์บีบคั้น ให้มีจุดหมายปลายทางที่หวังได้ คาดหมายได้

...

ด้วยการทำปัจจุบันนี้ ให้ประพฤติตนให้เป็นคนที่มีศีล คือไม่ทำความชั่ว ให้เป็นคนมีสมาธิ รู้จักสงบ วิเวก หลีกเร้นจากการคลุกคลี นั่นแหละ เรียกว่าสมาธิ วันหนึ่งคืนหนึ่งควรให้จิตดวงนี้ได้มีสติอยู่กับตัวเองนานๆ บ้าง ครึ่งชั่วโมง ชั่วโมงนึง รวมแล้วได้สองชั่วโมงสามชั่วโมง ในยี่สิบสี่ชั่วโมงให้อยู่ในสภาพที่มันเป็นสมาธิบ้าง มิได้ปล่อยให้มันลื่นไหลไปตามกระแสโลกซะทั้งหมด ก็คือการทำตามๆ กันไปของยุคสมัย

...

ซึ่งความรื่นเริงของมนุษย์ก็จะไม่มีอะไร นอกเสียจากว่าไปรวมกัน ไปรวมกันตามโน้นตามนี้ พอไปรวมกันเยอะๆ แล้วได้เห็นคนโน้นคนนี้สวยๆ งามๆ ก็ถือว่าสนุกแล้ว เป็นสุขแล้ว นั่นแหละเรียกว่าการไหลไปตามกระแสของยุคสมัย จริงๆ มันก็มีแค่นั้นล่ะนะ ไปรวมกันเพื่อรื่นเริงบันเทิง ไปรวมกันกินไปรวมกันเล่น กันเต้น กันร้อง กันฟ้อน เพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ควรจะกระทำ มีอะไรอีกที่นอกเหนือจากอย่างนั้น ที่มีประโยชน์เป็นสาระเป็นแก่นของชีวิต ยิ่งกว่าการกระทำกรรมนั้นๆ

...

ก็เพราะเขาไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินจริงๆ แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ไม่ได้บอก แกนั่งสมาธิบ้างซะบ้างโตแล้วน่ะ ไม่มีหรอก ไม่มีพ่อแม่บ้านไหนเรือนไหนพูดกับลูกตัวเองด้วยประโยคเหล่านี้ ตั้งแต่ฉันเป็นพ่อเป็นแม่แก ยังไม่เคยเห็นแกจบไทยทานใส่บาตรเลย ไป๊…ไปทำทานเสียบ้าง น้อย...น้อยครัวเรือนมากเลย ที่จะพูดกับลูกอย่างนี้ ถ้าพ่อพูดก็อาจจะถูกแม่ตำหนิก็ได้ พ่อนี่ชอบบังคับลูก เป็นอย่างนั้นอีก พ่อกลัวมองเห็นลูกเราจะไม่รู้จักบุญรู้จักกุศล ส่วนแม่กลัวลูกจะโกรธ ก็เลยตำหนิพ่อให้ลูกได้ยิน ลูกได้ยินอย่างนั้น…ก็ดีนะที่แม่ไม่บังคับเราอีกคนหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น

...

แต่ก็มีพ่อแม่ที่นำพาบุตรธิดาทั้งหลาย ให้ได้รู้จักศีล รู้จักสมาธิ รู้จักการนึกคิด ให้มีเหตุมีผล รู้จักมีปัญญาว่าสวรรค์มี นรกมี สวรรค์คือที่รองรับสำหรับจิตวิญญาณที่ทำความดีไว้ หลังจากตายจากมนุษย์แล้วจะไปเกิด เสวยสุข เลยเรียกว่าสวรรค์

...

นรกคือภพภูมิที่รองรับจิตวิญญาณที่ทำชั่วไว้ หลังจากตายไปจะไปเกิดปะปนกับเทพบุตรเทพธิดาเขาไม่ได้หรอก จะไปก่อกวนความสุขคนที่เขาทำดีไว้ ไม่ได้ เขาแยกไว้เด็ดขาด เอาไปลงนรก เอาไปเป็นเดรัจฉาน เอาไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เอาไปซ่อม พวกที่ซ่อมนี่ก็ไม่ใช่พวกไหนหรอก คือพวกที่ในขณะที่เป็นมนุษย์ใช้ชีวิตที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นประโยชน์ ใช้ชีวิตแบบเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไร้สาระไปตามอำเภอใจ จึงจะต้องไปซ่อม

...

ซ่อมคืออะไร ไปให้เกิดที่ได้รับทุกข์ เพื่อจะได้เข็ด หลาบ จำ จะได้มีนิสัยหนีทุกข์ คิดจะหนีทุกข์ เพราะในอบายภูมิที่กล่าวนั้นมีแต่ทุกข์ที่คอยรุมเร้า ก็เลยต้องหนีอยู่อย่างนั้น พอมาเป็นคนจะได้หาทางที่จะหนีทุกข์ หาวิธีที่จะพ้นจากทุกข์ ก็เลยว่าการเวียนว่ายตายเกิดนี้ มีไว้เพื่อจะสั่งสอนจิตแต่ละดวง สอนให้พาตัวเองพ้นทุกข์นั่นแหละ ....

บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๖๓