จิตที่บริสุทธิ์เท่านั้นจึงมีสิทธิ์นิพพาน ในเมื่อเราปรารถนานิพพาน ต้องไม่มีศัตรู ต้องไม่เป็นศัตรูกับใคร แต่จะให้ใครมารักเรา เราไม่รู้หรอก ใครรักเราบ้าง ใครเกลียดเราบ้าง ช่างเถอะ แต่เรารู้ของเราอยู่ดวงเดียวนี่แหละ คนเดียว จิตของเรานี่ ฉันไม่เป็นศัตรูกับใคร แม้การกระทำอย่างนี้ก็ได้ผล ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายหนึ่ง ต้องลงสัญญาเซ็นชื่อรับรองหรอก ไม่ต้อง การหมดศัตรู การหมดการจองเวรนี่ เราเพียงฝ่ายเดียว สัญญาฝ่ายเดียวก็สมบูรณ์ได้ ดีอย่างนี้
...
เราถึงบอก ถ้าอย่างนั้นชาตินี้ฉันมีสิทธิ์ผุดผ่อง ทำสัญญาฝ่ายเดียว อดีตชาติของศัตรูใครบ้างไม่รู้ล่ะเน้อ รับเอาบุญไป ไหนล่ะ แกได้บุญจากอะไร บวช ฉันไม่เห็นแก่เปรี้ยวหวานมันเค็ม ไม่เห็นแก่เนื้อขาวเนื้อนุ่มอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้คิดจะไปเสวยกามคุณบันเทิงเริงรมย์อะไร ทั้งที่ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้ ฉันเป็นคนๆ หนึ่งที่จะกระทำได้ แต่ฉันยอมสละตรงนั้น รู้ ฉันรู้ว่าการบวช จะต้องทำความเพียร จะต้องลำบาก จะต้องอดมื้อกินมื้อ อยากเปรี้ยวอาจจะไม่มี อยากเค็มก็อาจจะไม่ได้ ด้วยว่าอาศัยเขากิน มีครัวมีเรือนเองไม่ได้ ฉันก็ยอมที่จะลำบากอย่างนั้น
...
ฉันรู้หมดแล้ว เต็มใจที่จะสร้างบุญสร้างกุศล อุทิศให้พวกเธอ เอาไปเน้อ เป็นชาติแห่งการอุทิศของฉันก็ว่าได้ มันต้องอย่างนั้นนะ จากจิตจากใจจริงๆ ถ้ามันจริงจากใจของเราอย่างนี้แล้ว ช่างมันเฮอะ ใครจะว่าเราชั่ว ใครจะว่าเราเลว ใครจะว่าเราดี ช่างเขาเฮอะ ใครจะเกลียดจะชัง ช่างเขาเฮอะ เรารู้ของเราอย่างเดียว เราไม่ได้เกลียดเธอเลย เราไม่ได้ชังเธอตอบ
บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕