อยู่ๆ มีคนมาหา บอกว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่โกรธคนอื่น คนนั้นน่ะมาพูดมาตำหนิต่างๆ นานา ควรจะทำอย่างไรดี กับคนที่มาว่าเราอย่างนั้น ด่ามันกลับเลยสิ เออ แนะนำอย่างนั้นเลย ง่าย ไวดี ก็ด่ามันกลับเข้าบ้างสิ ปล่อยให้มันว่าแต่ข้างเดียวทำไมล่ะ พระพุทธเจ้าไม่เคยแนะนำอย่างนั้นเลย อืม ให้เฉยไว้ คนโกรธเราอย่าโกรธเขาตอบ เขาโกรธข้างเดียวเดี๋ยวมันก็หายไป เดี๋ยวมันก็หมดไป แต่มันเคียดแค้นอยู่ในใจ ถึงไม่ตอบมันก็เดียดแค้นอยู่ในใจ ให้คิดเสียว่าเราเคยว่าเขาไว้ในอดีต
...
วิธีการของพระองค์นี่ทำยาก ต้องทำไว้ในใจ ก็ทำไมไม่แนะนำที่ง่ายล่ะ ด่ากลับ แกคำเราไปสองคำ เขามาเท่าไหร่เรากลับไปด้วยคูณสอง รับรองแกหลายโกรธแน่ สบายใจแน่ โล่งแน่ ผลตอบแทนกลับมามันจะเป็นอย่างไรไม่รู้ล่ะ เขาจะอาฆาตพยาบาทจองเวรเรายิ่งขึ้น หรืออย่างไรไม่รู้ล่ะ เอาเป็นแต่ว่าวันนั้นแหละ มันเสียงดังขนาดนี้เราดังเป็นสองเท่าของมันขึ้นไป คนเสียงดังย่อมจะเป็นคนถูก แน่ะ ทำไมไม่แนะนำไปอย่างนั้นล่ะ เกลือจิ้มเกลือ ตาต่อตาฟันต่อฟันกลับไป ทำไมไม่แนะนำอย่างนั้นล่ะ
...
เปล่าเลย ถ้ามาหาพระพุทธเจ้านี่ ให้อดไว้ ทนไว้ ข่มไว้ เอาธรรมะข่มไว้ในจิตในใจก็ได้ ช่างเขาเฮอะ เขาไม่รู้ว่าการกล่าววาจาเช่นนั้นไม่ควร ยังไม่ทันถามเราเลย เราผิดอย่างนั้นจริงไหม ถูกอย่างนั้นจริงไหม มาถึงก็ว่าเอาว่าเอา จะทำอย่างไรดีกับคนอย่างนี้ ถ้าจะชี้แจงก็ชี้แจงด้วยความสุภาพ อย่าใช้คำหยาบคายกลับไปเพราะมีศีลกำกับไว้อยู่แล้ว ไม่ให้โต้ตอบ
...
ทำไมสอนอย่างนั้นล่ะ มันทำตามยาก คนเขาก็ไม่อยากให้สอนหรอกอย่างนี้ แต่วิธีการที่ถูกที่จะให้มันหายซึ่งความเดียดแค้นชิงชังอยู่ในจิตในใจ ต้องข่มไว้ ต้องระงับไว้ ต้องมีวิธีการคิดแบบที่ท่านกล่าวนั่นแหละท่านเอาสิ่งที่การระงับที่ถูกต้องมาบอก โอ้ อย่างนี้ทำยากเนอะ ใช่ ยากหน่อยนะ ต้องพยายาม ต้องอดทน ต้องมีธรรมะอย่างนี้ ต้องมีนิสัยอย่างนี้ จึงจะทำตามได้ ท่านก็บอกแล้ว ว่ามันยากหน่อยนะ แต่มันคือวิธีที่ถูกต้อง มันแก้ไขความโกรธได้ มันไม่ผูกเวรต่อ
...
ทว่าเขาต้องการความชนะ เขาได้ชนะแล้ว เขาก็จะไม่มาอาฆาตเราต่ออีก เขาอยากจะตำหนิเรา เขาก็ได้ตำหนิไปสมใจแล้ว เราไม่โต้ตอบก็เท่ากับเหมือนกับว่าเราแพ้ทุกประการ ในเมื่อเขารู้ว่าเขาชนะ เขาก็ไม่คิดจะมาทำอะไรเราอีก ชนะไปแล้ว มาอีกก็ชนะอีก มาเมื่อไหร่ก็ชนะเมื่อนั้น โอ้ไม่ต้องไปก็ได้ ชนะอยู่แล้ว ไม่ต้องไปรบอะไรมันหรอก มันไม่มาทำอะไรเราได้อยู่แล้ว เนี่ยเปรียบเหมือนอย่างนั้นแหละ เขาจะไปทำร้ายคือคนที่เขาคิดว่าจะมาทำร้ายเขา จะเป็นศัตรูกับเขา แต่เราไม่เคยคิดสู้ใคร ไม่เคยชนะใคร ใครก็ไม่อยากมาทำอะไรเรา บอกมันแพ้อยู่แล้วหมอนี่ มันแพ้ตลอดชาติ ตีก็ตายเปล่า ด่าก็เงียบ ไม่รู้จักโต้ตอบอะไรอยู่แล้ว ปล่อยมันไปเฮอะ
...
เนี่ย หมดคนที่จะคิดจองเวรจองกรรมอะไรกับเรา ฆ่าก็ตายเปล่า ปล่อยมันตายเองเหอะ อืม เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจว่าอย่างเราไม่มีการไปโต้ตอบอะไรเขาแน่ มนุษย์พันธุ์นี้ไม่สู้ใครแน่ ไม่เถียงใครแน่ ไม่ยอกย้อนใครแน่ คำก็เมตตา สองคำก็สงสาร กี่คำกี่คำก็ช่างเขาเฮอะ ช่างเขาเฮอะ ไม่สนุกหรอกที่คิดจะไปโต้วาทะ เถียงวาที ปล่อยไปเฮอะ ไม่มีพิษมีภัยอะไร
...
เออ ได้ผลแฮะ วิธีการ เงียบเสีย นิ่งเสีย เฉยเสีย อุเบกขา ถ้าไม่อย่างนั้นวันๆ เราก็คงต้องคอยรอว่าวันนี้เถียงคนนี้ไปแล้ว พรุ่งนี้ไม่รู้ใครจะมาเถียงอีก จะต้องเตรียมไว้เถียงกับใครอีก นี่ไม่ต้องเตรียมอะไรเลย เพราะไม่ว่าใครจะมาฉันก็แพ้ ถ้าใครคิดจะมาเอาชนะล่ะก็ ชนะตั้งแต่คิดล่ะแก ไม่ต้องมาให้เหนื่อยเลย ไม่ต้องกลัวว่าเราจะไปทำร้ายทำลายใดๆ ทั้งสิ้น
...
นี่แหละคือ วิธีการที่จะให้ความสงบเกิดขึ้นกับเรา เราต้องมีคติ มีทิฏฐิคือความเห็น สำหรับที่จะเป็นเครื่องมือเมื่อประสบพบกับสิ่งที่มากระทบทั้งหลายด้วยวิธีอย่างนี้ ซึ่งมันสบายกว่าวิธีการแบบทางโลกเยอะเลย ที่จะต้องคอยเตรียมศาตราอาวุธ เตรียมคำพูดเจ็บๆ แสบๆ เตรียมโวหารที่จะเอาไว้คอยยอกย้อน ไม่ต้อง เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหวังจะชนะใครๆ แล้วตายไป เราต้องการชนะกิเลสของตัวเราเองคนเดียวเราก็พอแล้ว งาน ไม่ใช่คิดว่า เออ ตายมานี่ชนะใครมาบ้างล่ะ ตายมานี่เคยแพ้ใครบ้างไหม แพ้ตลอดครับเออใช้ได้
...
โอ้ไปเกิดเป็นมนุษย์มา ในเมืองมนุษย์ไม่มีใครสู้ฉันได้ เก่งเกิน อย่างนั้นสิกลับผิดเสียอีก เอาชนะคะคานไป ข้างๆ คูๆ ถูๆ ไถๆ แหลกลาญไปหมด ไม่เกิดประโยชน์ เราก็เลยมา ฝึกยอมให้เป็น ถ้าจะพูดจะกล่าวก็ต้องมีเหตุมีผล ในเหตุผลนั้นคนอื่นจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ แต่เหตุผลทั้งปวงนั้นเรายึดเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่เราคิดเองตั้งขึ้นมาเองด้วย อิงพระพุทธเจ้าทั้งนั้น
...
เหตุผลเราเองที่ไม่ตรงกับของพระพุทธเจ้า เรายอมที่จะทิ้งเลย ใช้ไม่ได้ เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเก่งกว่าเรา เราจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าเป็นไปไม่ได้ ไม่หลงตัวเอง ไม่มัวเมาตัวเองแล้วนั่นแหละ ถึงแม้ตัวเองจะประพฤติปฏิบัติมาตั้งนานก็เถอะ เมื่อมาทราบว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าผิด พร้อมจะทิ้งเลย มาให้พระองค์ชี้ผิดชี้ถูกนี่แหละ
หลวงพ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต
บรรยายธรรมเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2559