อยากจะรู้ว่าเรานี่ฝึกเสร็จหรือยัง ฝืนกิเลสของเมืองมนุษย์นี้ได้ไหม ดีนะ ที่มันไม่ต้องไปใช้ความทุกข์ในเมืองนรกเป็นการฝึก เพราะอะไรเขาไม่ใช้เมืองนรกเป็นที่ฝึก ? มันทุกข์เกินไป มันเป็นแดนแห่งการทุกข์ไม่มีช่องว่างนั่นเอง ต้องมีช่องว่างจากความทุกข์พอดีๆ มันมีเมืองมนุษย์นี่ เหมือนกับว่าจะเอาโลกใบนี้เอาไว้เป็นที่ฝึกมนุษย์ให้เข้านิพพาน
...
กล่าวอย่างนี้ก็ไม่ผิด เขาไม่ได้มีเอาไว้ให้ฝึกร้องฝึกเต้น ฝึกดื่มกิน ฝึกรบฝึกฆ่าอะไรกันหรอก เอาไว้ฝึกตบะจิตใจของเรานี้ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากอคติกับสิ่งใดๆ แม้เห็นในสิ่งที่เป็นทุกข์ก็วางเฉยได้ เพราะ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะมาจับผิดคนโน้นคนนี้ จริงๆ เราเกิดมาเพื่อจะมาฝึกตัวเราเอง นั่นการที่ไปจับผิดคนโน้นคนนี้นี่ ก็ถือว่ายังไม่ถูกตรง
...
ต้องจับผิดตัวเองนี่แหละที่ถูกตรง จับผิดแม้กระทั่งว่าเรากำลังไปจับผิดคนอื่น เราก็ต้องจับตัวเราเองก่อนว่า แกกำลังจะทำผิด
...
ผิดอย่างไง ?
ไปเพ่งโทษคนอื่นอยู่
อ้าว ก็มันผิดจริง
ถึงผิดจริงก็เรียกว่าเพ่งโทษ
มันจะผิดจริงผิดปลอมก็เรื่องของคนอื่น
ไอ้ที่ผิดจริงๆ เลย คือแกนี่แหละกำลังเพ่งโทษผู้อื่นอยู่
อ้าว ก็เพ่งสิ คนที่มันผิดน่ะ
...
นั่นแหละ แกมัวแต่ไปเพ่งคนโน้นผิด คนนี้ถูก ลืมตัวเอง คนที่มัวเพ่งโทษคนนั้นผิด คนนี้ถูก คนนั้นแหละผิดเสียเอง
...
ธรรมะนี่มันแหลมคมลึกซื้งนะ ถ้าจะว่าโดยรายละเอียดของมันนี่ มันเป็นทั้งคำคม คำตรง คำจริง (ตรง) กิเลสมันแพรวพราว เราก็ต้องแพรวพราวทันมัน แต่แพรวพราวของเราไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมในทางอกุศล แต่เป็นเล่ห์เหลี่ยมในทางกุศล เล่ห์เหลี่ยมในการที่จะเผากิเลส ที่จะเอาชนะบาปทั้งหลาย
หลวงพ่อเฉลิมโชค ฉันทชาโต
ส่วนหนึ่งจากการบรรยายธรรมเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2563